สำหรับผู้ที่ต้องการสร้างเว็บไซต์หรือธุรกิจออนไลน์ ในช่วงเริ่มต้นก่อนที่จะมีเว็บไซต์สิ่งแรกที่ต้องมีก็คือโดเมนเนม แต่การจดโดเมนก็มีหลายปัจจัยให้เลือก โดยเฉพาะ TLD และ ccTLD ในบทความนี้ เราจะมาทำความรู้จักกับ TLD และ ccTLD ว่าคืออะไร ควรเลือกแบบไหนดี
TLD (Top Level Domain) คืออะไร
TLD หรือ Top Level Domain คือส่วนสุดท้ายของชื่อโดเมน (ถ้าจะเรียกแบบบ้าน ๆ ว่า "นามสกุล" โดเมนก็ไม่ผิดครับ) ตัวอย่างของ TLD ที่เราเห็นได้ทั่วไปมีดังนี้
- .com (สำหรับเว็บไซต์เชิงพาณิชย์)
- .org (สำหรับองค์กรไม่แสวงผลกำไร)
- .net (สำหรับเครือข่ายและเทคโนโลยี)
- .edu (สำหรับสถาบันการศึกษา)
- .gov (สำหรับหน่วยงานรัฐบาล)
- .info (สำหรับเว็บไซต์ข้อมูลทั่วไป)
TLD เหล่านี้ถูกควบคุมโดย ICANN (Internet Corporation for Assigned Names and Numbers) ซึ่งเป็นองค์กรที่ดูแลระบบชื่อโดเมนเนมทั่วโลก
ccTLD (Country Code Top Level Domain) คืออะไร
ccTLD หรือ Country Code Top Level Domain เป็นประเภทของ TLD ที่ใช้รหัสประเทศเป็นส่วนท้ายของโดเมน โดยแต่ละประเทศจะมีรหัสเฉพาะของตัวเอง เช่น
- .th สำหรับประเทศไทย
- .jp สำหรับประเทศญี่ปุ่น
- .uk สำหรับสหราชอาณาจักร
- .de สำหรับประเทศเยอรมนี
สำหรับประเทศไทย เรามี ccTLD หลายประเภท ได้แก่
- .co.th (สำหรับธุรกิจ ต้องยื่นเอกสารใบจดทะเบียนธุรกิจการค้า)
- .ac.th (สำหรับสถาบันการศึกษา)
- .go.th (สำหรับหน่วยงานรัฐบาล)
- .in.th (สำหรับบุคคลทั่วไป อันนี้ใช้แค่บัตร ปชช. หรือทะเบียนบ้านก็จดได้แล้ว)
- .th (โดเมนระดับสูงสุด มีค่าใช้จ่ายสูงมาก ค่าต่ออายุนี่คือปีละ 1 แสนเลยครับ)
ประเภทของ ccTLD
ccTLD สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก
1. ccTLD แบบปิด (Closed ccTLDs)
ccTLD แบบปิดจะมีข้อจำกัดในการจดทะเบียน โดยมักจะอนุญาตเฉพาะผู้ที่มีความเกี่ยวข้องกับประเทศนั้น ๆ เท่านั้น ตัวอย่างเช่น
- .us (สหรัฐอเมริกา)
- .fr (ฝรั่งเศส)
- .au (ออสเตรเลีย)
- .ca (แคนาดา)
การจดทะเบียน ccTLD แบบปิดมักจะต้องมีเอกสารยืนยันตัวตนหรือการดำเนินธุรกิจในประเทศนั้นๆ
2. ccTLD แบบเปิด (Open ccTLDs)
ccTLD แบบเปิดอนุญาตให้บุคคลหรือองค์กรจากทั่วโลกสามารถจดทะเบียนได้ โดยไม่จำเป็นต้องมีความเกี่ยวข้องกับประเทศนั้น ๆ ตัวอย่างเช่น
- .co (โคลอมเบีย)
- .cc (หมู่เกาะโคโคส)
- .io (บริติชอินเดียนโอเชียนเทร์ริทอรี)
- .me (มอนเตเนโกร)
ccTLD แบบเปิดได้รับความนิยมมากขึ้นในหมู่ธุรกิจสตาร์ทอัพและบริษัทเทคโนโลยี เนื่องจากมีความยืดหยุ่นในการใช้งานและบางครั้งสามารถสร้างชื่อโดเมนที่สร้างสรรค์ได้
แต่ก็มีข่าวว่า .io อาจโดนยกเลิก (ต้องคอยติดตามต่อไป) ตามที่ผมเคยโพสต์ไว้ในเพจ
เลือกใช้ TLD หรือ ccTLD?
- กลุ่มเป้าหมาย: หากธุรกิจของเราโฟกัสที่ตลาดในประเทศใดประเทศหนึ่งโดยเฉพาะ การใช้ ccTLD ของประเทศนั้นจะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือได้ เช่น ในไทยก็ใช้ .co.th (แนะนำ) แต่ถ้ายังไม่ได้จดทะเบียนธุรกิจหรือยังไม่ได้มีธุรกิจจริงจัง .in.th ก็โอเครครับ
- ความน่าเชื่อถือ: บาง TLD เช่น .com อาจให้ความรู้สึกเป็นสากลและน่าเชื่อถือมากกว่า (ถ้าต้องการขยายไปตลาดต่างประเทศในอนาคตหรือจะทำ International SEO ที่ไม่ต้องใช้ ccTLD แต่ใช้ URL เป็นแบบ path แทน เช่น example.com/th/, example.com/jp/ อะไรแบบนี้เป็นต้น
- ราคาและข้อกำหนด: แต่ละ TLD และ ccTLD มีราคาและข้อกำหนดในการจดทะเบียนที่แตกต่างกัน ก็เลือกได้ตามงบที่มีได้เลยครับ (เช่น .io ก็เป็นอีกตัวที่ราคาค่อนข้างสูง แต่ก็ดูคูลนะ lol)
- การป้องกันแบรนด์: บางบริษัทอาจเลือกจดทะเบียนทั้ง TLD และ ccTLD เพื่อป้องกันการแอบอ้างชื่อแบรนด์ ป้องกันคนอื่นมาจดซ้ำแบรนด์เรา
จากตัวอย่างด้านล่างของหนึ่งในเว็บผู้ให้บริการ hosting และจดโดเมนอย่าง z.com ก็มีโดเมนทั้งแบบ TLD และ ccTLD ให้เลือกครบครัน (ไม่ได้รับสปอนฯ นะครับ แต่จากที่ผ่านมาทั้งจดโดเมนให้ลูกค้า และให้เว็บตัวเองที่เป็น ccTLD ของไทย ก็จดกับเว็บนี้แหละ)
ตัวอย่างเว็บผู้ให้บริการจดโดเมนของไทย
สรุป
สำหรับผู้ที่ต้องการมีเว็บไซต์เป็นของตัวเอง การเข้าใจ TLD และ ccTLD เป็นสิ่งที่ต้องรู้ เพราะการเลือกโดเมนที่เหมาะสมสามารถส่งผลต่อการรับรู้ของผู้ใช้ ความน่าเชื่อถือ และประสิทธิภาพในการทำ SEO ดังนั้น ควรพิจารณาอย่างรอบคอบและเลือกโดเมนที่สอดคล้องกับเป้าหมายและกลยุทธ์ของเรามากที่สุด เพื่อที่จะไม่เกิดความยุ่งยากในการ migrate หรือเปลี่ยนแปลงโดเมนภายหลังครับ
ในส่วนของบริการ SEO consultant ผมมีคำแนะนำและวางระบบให้ตั้งแต่ต้นจนจบ ตั้งแต่จดโดเมน ทำเว็บ ไปจน optimize SEO ให้ติดหน้าแรกในธุรกิจ