• Home
  • บทเรียน SEO
  • Chapter 1: SEO ศาสตร์แห่งการปรับเว็บ ติดหน้าแรก Google

SEO ศาสตร์แห่งการปรับเว็บ ติดหน้าแรก Google

Son Content Mastery
Updated: May 6, 2024


ปัจจุบันค่าโฆษณาในแพลตฟอร์มต่าง ๆ มีแต่จะสูงขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าธุรกิจหวังพึ่งพาแต่ช่องทางนี้เพื่อให้คนเข้าถึงสินค้าหรือบริการของเรา วันไหนที่ไม่ได้โปรโมตหรือยิง Ads ก็จะไม่มีคนเห็นสินค้าของเรา แต่หลายคนอาจจะยังไม่ทราบว่า มันยังมีอีกวิธีที่สร้างความยั่งยืนในระยะยาว โดยเราสามารถเพิ่มคนเข้าเว็บไซต์ได้แบบไม่ต้องยิงแอดไปตลอด ก็ยังมีคนเข้าเว็บหรือเห็นบริการของเราอยู่เรื่อย ๆ วิธีการนี้เรียกว่าการทำ "SEO (Search Engine Opimization)"


SEO คืออะไร ?

SEO (Search Engine Optimization) คือ กระบวนการปรับ (optimize) เว็บไซต์เพื่อให้แสดงผลในหน้าแรกของ Search Engine (Google) โดยเราจะได้คนเข้าเว็บแบบ organic traffic (คือไม่ต้องเสียเงินค่าโฆษณา) 

โดยปกติแล้วเมื่อพูดถึง Search Engine เราก็มักจะอ้างถึง Google ครับ เพราะว่ากูเกิลนั้นเป็นเสิร์ชเอนจินที่ได้รับความนิยมสูงสุดในโลก จากด้านล่างนี้คือ Market Share ของเสิร์ชเอนจินในปี 2024 จะเห็นว่า Google แทบจะครองตลาดแบบเบ็ดเสร็จ

  • Google: 91.62%
  • Bing: 3.31%
  • Yandex: 1.84%
  • Yahoo: 1.08%
  • Baidu: 0.77%
  • Duckduckgo: 0.53%


Image source: StatCounter


ยิ่งติดอันดับแรก ๆ เปอร์เซ็นต์ที่คนจะคลิกก็จะสูงตามไปด้วย



เปอร์เซ็นต์การคลิกของแต่ละอันดับที่แสดงผล


ประเภทของ SEO

ปกติแล้วจะถูกแบ่งออกเป็น 4 ประเภทหลัก ๆ ดังต่อไปนี้

  1. On-Page SEO: ศาสตร์ที่ว่าด้วยการปรับคอนเทนต์ให้ดีที่สุด (ปัจจัยที่เราควบคุมได้)
  2. Off-Page SEO: ศาสตร์ที่ว่าด้วยการอาศัย Backlink จากเว็บอื่น
  3. Technical SEO: ศาสตร์เกี่ยวกับการปรับเว็บโดยตรง เพื่อให้เอื้อต่อ SEO
  4. Local SEO: ศาสตร์ที่ว่าด้วยการทำให้บริการของเราไปแสดงผลบน Google โดยอ้างอิงตามโลเคชันของผู้ใช้งาน

ขั้นตอนการทำ SEO

นี่คือขั้นตอนหรือวิธีการทำ SEO แบบตั้งแต่เริ่มต้นกันเลย (สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสมของแต่ละคน) โดยผมได้เรียงอันดับจากแรกสุดไปหลังสุด 

  1. Keyword Research: เป็นการวิเคราะห์คีย์เวิร์ดที่เราต้องการติดอันดับหน้าแรก Google
  2. Content Creation: ขั้นตอนในการสร้างคอนเทนต์เพื่อนำเสนอ user ที่ได้เสิร์ชหาข้อมูล โดยควรทำคอนเทนต์ให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้
  3. On-Page SEO: เป็นขั้นที่เราปรับคอนเทนต์ของให้สมบูรณ์แบบที่สุด อย่างที่ได้อธิบายไปก่อนหน้าแล้วครับว่า On-Page SEO เป็นปัจจัยภายในที่เราควบคุมได้
  4. Technical SEO: เป็นขั้นตอนการทำ SEO ที่ต้องคลุกคลีกับการปรับ performance ของเว็บไซต์ เช่น ความเร็วของเว็บ ความลื่นไหลในการใช้งาน ไปจนถึงการปรับ Site Structure (ซึ่งจริง ๆ แล้วควรจะออกแบบให้ดีแต่แรก) 
  5. Link Building (Off-Page SEO): เป็นขั้นตอนในการสร้างลิงก์ย้อนกลับ (Backlink) จากเว็บอื่นมาที่เว็บของเรา ซึ่งขั้นตอนนี้เป็นสิ่งที่เราควบคุมได้ยาก หรือเป็นปัจจัยภายนอก ซึ่งเราต้องรอให้เว็บอื่นลิงก์มาหาเรา
  6. Monitoring & Tracking SEO Result: เป็นการขั้นตอนสุดท้ายของการทำ SEO ซึ่งเราต้องคอยติดตามและวัดผลอยู่เสมอ ๆ ครับ โดยในเบื้องต้นแล้วก็จะมีเครื่องมือที่คนทำ SEO และเว็บไซต์ทุกคนต้องมีคือ Google Search Console

Note: จริง ๆ แล้วขั้นตอนแรกจากประสบการณ์ทำ SEO ของผม จะเป็น Site Audit แต่ในที่นี้ผม assume ไปแล้วว่าเพื่อน ๆ น่าจะมีเว็บไซต์เป็นของตัวเองครับ แต่ถ้าไม่มีสามารถสดตัวต่อตัวกับผมได้กับ คอร์ส SEO Mastery (ปล.เป็นแบบเขียนโค้ดนะ แต่ไม่ยากเกินไปแน่นอน) หรือถ้าต้องการแบบรวดเร็วก็จ้างผมทำเลยก็ได้เช่นกัน :) 


SEO กับยิง Ads อันไหนเวิร์คกว่ากัน ?

สองวิธีการนี้มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป ไม่ได้มีวิธีการไหนที่ดีที่สุด เพราะว่าในบางธุรกิจอาจจะเหมาะสำหรับ SEO หรือบางธุรกิจการยิงแอดก็อาจจะตอบโจทย์กว่า รวมไปถึง timing (ช่วงระยะเวลาที่เหมาะสม)

ยกตัวอย่าง คุณเพิ่งเปิดร้านค้าหรือบริการขึ้นมาใหม่ ถ้าหากจะต้องรอเซ็ตเว็บ เขียนบทความ ทำคอนเทนต์เพื่อดึงหรือรอคนเข้าเว็บแบบ organic แล้วนั้น มันอาจจะไม่ทันกินก็ว่าได้ ดังนั้นคุณสามารถซื้อโฆษณาเพื่อเป็นจุดเริ่มต้น ให้คนรู้จักสินค้าของเราก่อน จากนั้นเมื่อดำเนินกิจการไปได้สักระยะหนึ่ง พร้อมพิสูจน์แล้วว่ามันมีโอกาสและความเป็นไปได้ในธุรกิจ จึงอยากจะสร้างความยั่งยืนควบคู่กันไป ตอนนี้แหละครับที่ SEO จะเริ่มเข้ามามีบทบาท


เปรียบเทียบ SEO และการยิงแอด Facebook


จากภาพกราฟด้านบน ผมไม่ได้จะมาดิสเครดิตการยิงแอด Facebook แต่อย่างใด เพราะว่ามันก็เคยเป็นอีกช่องทางที่ทำเงินให้กับผมได้พอสมควร แค่อยากจะสื่อว่า SEO คุณทำครั้งเดียว กินได้ยาว ๆ (ในความเป็นจริงก็ไม่เชิงครั้งเดียวหรอก) แต่ Facebook ถ้าคุณไม่เติมเงินลงไป การมองเห็น (Impression) ก็จะเป็น 0


SEO คือส่วนหนึ่งของ Search Engine Marketing

SEO เป็นหนึ่งในสายงานของการตลาดแบบ Search Engine Marketing เพราะว่าจริง ๆ แล้วมันไม่ได้มีแค่ SEO ครับในตลาดของเสิร์ชนี้ มันจะมีอีกตัวหนึ่งที่เรียกว่า "SEM" ดังนั้นลองมาดูครับว่า SEO และ SEM ต่างกันยังไง

  • SEO: (Search Engine Optimization) การทำ SEO นั้นจะเป็นการปรับเว็บไซต์และคอนเทนต์ให้แสดงผลบน Google โดยไม่ต้องเสียเงินค่าโฆษณา 
  • SEM: (Search Engine Marketing) การทำการตลาดบนเว็บไซต์ในรูปแบบจ่ายค่าโฆษณาเพื่อเพิ่มการมองเห็น (Paid Traffic) โดยส่วนใหญ่มักจะอยู่ในรูปแบบ PPC (Pay-Per- Click) คิดค่าโฆษณาตามจำนวนการคลิก


SEO vs SEM


ถ้าพูดแบบภาษาทั่วไป SEM ก็คือการซื้อโฆษณา Google นั่นเองครับ


ประโยชน์ของการทำ SEO

ทำไมเราถึงต้องทำ SEO? นี่คือคำถามที่เราต้องถามก่อนเป็นอันดับแรกเลยครับ นอกจากเบื้องต้นที่เรารู้แล้วว่ามันสามารถเพิ่มคนเข้าเว็บได้แบบไม่เสียเงินค่าโฆษณา

แล้วคนเข้าเว็บเพิ่มขึ้นมันดียังไง มันจะนำมาซึ่งอะไรหรือ ? นี่เป็นสิ่งที่เราต้องรู้ก่อนครับ เราจะได้มีแรงจูงใจในการทำ SEO

  • คนเข้าเว็บเพิ่มขึ้น
  • การรับรู้ของเว็บ/ธุรกิจเพิ่มขึ้น
  • ยอดขายเพิ่มขึ้น
  • ลดค่าโฆษณาของธุรกิจ
  • ความน่าเชื่อถือให้กับเว็บของเราเพิ่มขึ้น
  • ความยั่งยืนของธุรกิจในระยะยาว
  • ฯลฯ


1. ได้คนเข้าเว็บหรือ traffic เพิ่มขึ้น

อันดับแรกเลยคือ traffic หรือคนเข้าเว็บของเราจะเพิ่มขี้นอย่างแน่นอนครับ แต่จะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของเราแล้วล่ะ ส่วนคนเข้าเว็บเพิ่มนี่ก็เปรียบเสมือนว่าเราสร้างทำเลขายของที่เจ๋ง ๆ ให้กับตัวเองใช่ไหมครับ


ก่อนทำ SEO vs หลังทำ SEO

แน่นอนว่าคนก็จะเข้ามาเห็นสินค้าหรือบริการของเราเพิ่มขึ้น แล้วมันจะนำมาสู่อะไรล่ะ ? 


2. ได้ยอดขายเพิ่มขึ้น

แน่นอนครับว่าเมื่อคนเข้าเว็บเพิ่มขึ้น คนเห็นสินค้าหรือบริการเรามากขึ้น มันก็จะนำมาสู่โอกาสในการที่เราจะได้ยอดขายเพิ่มขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย ยกตัวอย่างง่าย ๆ ร้านค้าของนาย A วันหนึ่งมีคนเดินผ่านหน้าร้าน 10 คน ส่วนร้านค้าของนาย B วันหนึ่ง ๆ มีคนเดินผ่านหน้าร้าน 1,000 คน เพื่อน ๆ คิดว่าร้านของใครมีโอกาสที่จะได้ยอดขายมากกว่าครับ ?


3. ได้ Brand Awareness เพิ่มขึ้น

การทำ SEO จะช่วยให้การรับรู้ (Brand Awareness) ของเราเพิ่มขึ้น เพราะว่าคนเข้าเว็บเราเยอะขึ้น เกิดการรับรู้ เกิดภาพจำซ้ำๆ เกี่ยวกับแบรนด์ของเรามากขึ้นตามไปด้วย 


4. ลดค่าโฆษณาของธุรกิจ

จากปกติที่ใครหลายคนต้องพึ่งพาแต่การโฆษณาเป็นหลัก ซึ่งส่วนนี้ก็ถือว่าเป็นค่าใช้จ่ายทางธุรกิจที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ในวันที่เราไม่ได้อัดงบหรือโปรโมตโฆษณาของเรา ลูกค้าก็จะมองไม่เห็นสินค้าหรือบริการของเรา แต่ SEO นั้นไม่ใช่แบบนั้น เพราะว่าเราไม่ต้องจ่ายค่าโฆษณา แต่คนก็เข้ามาเห็นสินค้าหรือบริการของเราได้เรื่อย ๆ ผ่านการค้นหาจาก Google (แต่เราก็ต้องคอยติดตามและอัปเดตคอนเทนต์อยู่เสมอ)


5. เพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเว็บหรือแบรนด์ของเรา

การทำ SEO นั้นเหมือนจะเป็นการบังคับให้เราต้องทำคอนเทนต์หรือเนื้อหาที่เป็นประโยชน์กับ users เพราะว่ายิ่งเนื้อหาของเว็บเราดีมากเท่าไหร่ ความเชื่อถือต่อแบรนด์หรือธุรกิจของเราก็จะเพิ่มสูงขึ้นเท่านั้น คุณคงไม่ได้อยากแค่ทำคอนเทนต์ขยะให้คนที่เสิร์ชมาเจอแล้วเสพคอนเทนต์แบบนั้นเพียงแค่หวังผลทาง SEO อย่างเดียวใช่ไหมครับ ? ผมเชื่อว่าส่วนใหญ่แล้วพยายามทำคอนเทนต์หรือบทความให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้อยู่แล้ว


6. ความยั่งยืนของธุรกิจในระยะยาว 

ด้วยประโยชน์ต่าง ๆ ของการทำ SEO ที่ได้กล่าวมาข้างต้นนั้น เชื่อว่าถ้าเราทำ SEO สำเร็จแล้วนั้น มันจะนำมาซึ่งความยั่งยืนของธุรกิจเราได้ในระยะยาวอย่างแน่นอนครับ เพราะเราสร้างความน่าเชื่อถือให้กับเว็บหรือแบรนด์ ลดค่าโฆษณาได้ มีคนเข้าเว็บแล้วเจอสินค้าและบริการของเราเยอะมากขึ้น คนบอกกันปากต่อปาก ฯลฯ 

จุดด้อยของ SEO รวมถึงการเข้ามาของ GenAI ในปี 2024

ใช่ว่าจะมีแต่ความสวยหรูหรือข้อดีเต็มไปหมดเสียทีเดียว มาดูข้อด้อยกันครับ 

  • ใช้เวลาในการทำนาน: เพราะว่าการทำ SEO ไม่ได้เห็นผลทันทีเหมือนยิงแอดที่เราสามารถเติมเงินแล้วกด boost โพสต์ได้เลยเหมือนดังเช่น Facebook, IG, etc ดังนั้นหากเราไม่มีความเข้าใจตรงจุดนี้ดี จะทำให้รู้สึกว่าไม่เห็นผล หรืออาจจะเห็นผลช้า
  • การเข้ามาของ Generative AI: ปัจจุบันหลาย ๆ เว็บส่วนใหญ่เรียกได้ว่าใช้แชทบอตอย่าง Generative AI ไม่ว่าจะเป็น ChatGPT, Gemini, Claude เป็นต้น ทำให้การทำคอนเทนต์สะดวกและง่ายกว่าเดิมมาก ๆ ซึ่งทำให้เกิดการแข่งขันสูงตามไปด้วย และพฤติกรรมของผู้ใช้ในการเสิร์ชก็เริ่มที่จะมีแนวโน้มไปใช้เครื่องมือเหล่านี้แทน Google Search มากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะ AI Search ที่น่าสนใจอีกตัวอย่าง Perplexity AI
  • ความซับซ้อน: การทำ SEO ไม่ได้มีเพียงแค่การทำคอนเทนต์ให้ดี แล้วจะติดหน้าแรก Google ได้ หากได้ศึกษาลงไปให้ลึกแล้วจะพบว่า ยังมีปัจจัยทางด้านเทคนิคอีกหลายส่วนที่เกี่ยวข้อง เชื่อมโยงกัน ดังนั้นการที่จะเรียนหรือทำ SEO ให้เข้าใจแบบถ่องแท้ได้นั้น สกิลอย่างการตรวจสอบหรือปรับปรุงเว็บไซต์หรือทำ Site Audit ได้ ก็เป็นอีกหนึ่งทักษะที่จำเป็น อาจจะไม่ต้องถึงกับขนาดต้องสร้างเว็บหรือเขียนโค้ดขึ้นมาเองได้ (แต่ถ้าทำได้ มันก็ย่อได้เปรียบคนอื่นใช่ไหมครับ ?)
  • วัดผลได้ยากกว่าการยิงแอด: เอาจริง ๆ มันวัดผลได้อยู่แล้วแหละ เช่น Organic Traffic, Conversion, Keywords Ranking แต่... มันวัดไม่ได้ง่ายและตรงไปตรงมา เช่น การยิงแอด สมมติเรากำลังยิง Facebook Ads หลังยิงสามารถวัดผลได้ทันทีว่า วันนี้คนเห็นโพสต์กี่คน ทักข้อความมากี่คน ปิดการขายได้กี่ออเดอร์ ซึ่งมันค่อนข้างชัดเจนและตรงไปตรงมากว่า ส่วน SEO นั้นมิติในการวัดผลมันน้อยกว่า โดยส่วนใหญ่จะวัดผลจากทราฟฟิกหรือคนเข้าเว็บ ปริมาณการคลิกในคีย์เวิร์ดหรือเว็บเพจหน้านั้น ๆ เป็นต้น
  • Google ปรับอัลกอริทึมบ่อย: เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาหลังจากอัปเดตบทความนี้ ก็มีการประกาศอย่างเป็นทางการจากเว็บของ Google Search Central ว่าจะลบหรือลดการแสดงผล Rich Results ในส่วนของ FAQ และ HowTo ซึ่งทำเอาคนที่ทำ SEO ปวดหัวได้เลย เช่น บางคนที่ได้ปรับ Schema Markup หรือ JSON-ld เพื่อให้แสดงผลแบบ Rich Results ก็อาจจะเป็นการสูญเปล่า เพราะว่า Google จะไม่แสดงผลในส่วนนี้อีกต่อไป 

สรุป

SEO คือ วิธีในการปรับเว็บไซต์และคอนเทนต์ เพื่อให้ติดอันดับในหน้าแรก ๆ ของ Search Engine เช่น Google โดยเราจะได้คนเข้าเว็บแบบ organic traffic คือ ไม่ต้องจ่ายยิงแอด จ่ายเงินค่าโฆษณา ส่งผลต่อความยั่งยืนของธุรกิจในระยะยาว โดยการทำ SEO หลัก ๆ ประกอบไปด้วย On-Page, Off-Page, Technical SEO, Local SEO 

ในปัจจุบันการทำ SEO เริ่มมีความท้าทายและยากขึ้นเรื่อย ๆ จากการมาของ Generative AI อย่าง ChatGPT, Gemini, Claude, ฯลฯ เป็นต้น ทำให้พฤติกรรมการใช้งานของผู้ใช้เริ่มมีแนวโน้มค่อย ๆ เปลี่ยนไปใช้ AI Search

ส่วนข้อควรคำนึงในการทำ SEO นั้น ต้องใช้ความอดทน เปรียบเสมือนการปลูกต้นไม้ เราต้องหมั่นใส่ปุ๋ย รดน้ำพรวนดิน ดูแลอยู่สม่ำเสมอ เพราะว่ามันไม่ได้เห็นผลในทันทีทันใดเหมือนการยิงแอด แต่ถ้าสำเร็จแล้วก็กินได้ยาว ๆ หวังว่าบทความนี้จะทำให้เพื่อน ๆ หรือคุณผู้อ่านมองภาพรวมของ SEO ออกนะครับ :)


FAQ

SEO (Search Engine Optimization) คือ กระบวนการปรับ (optimize) เว็บไซต์เพื่อให้แสดงผลในหน้าแรกของ Search Engine (Google) โดยเราจะได้คนเข้าเว็บแบบ organic traffic (คือไม่ต้องเสียเงินค่าโฆษณา)
ปกติแล้วมักจะแบ่งออกเป็น 4 ประเภทหลัก ๆ ดังต่อไปนี้ครับ คือ On-Page SEO Off-Page SEO Technical SEO และ Local SEO
คนเข้าเว็บเพิ่มขึ้น การรับรู้ของแบรนด์หรือธุรกิจเพิ่มขึ้น ยอดขายเพิ่มขึ้น ลดค่าโฆษณาของธุรกิจ ความน่าเชื่อถือให้กับเว็บของเราเพิ่มขึ้น ความยั่งยืนของธุรกิจในระยะยาว ฯลฯ

พร้อมอัพสกิล SEO เต็มรูปแบบ ?

เพราะเวลาเป็นสิ่งมีค่ายิ่ง ลดระยะเวลาลองผิดลองถูกด้วยตัวเอง กับคอร์สเรียน SEO + Web เข้าใจ SEO ในทุกมิติ เข้าใจเบื้องลึกเบื้องหลังการทำงานของเว็บ พร้อมทั้งสามารถทำ Technical SEO ได้อย่างไม่มีปัญหา ปิดจุดด้อยทุกจุด กับคลาสเรียนแบบเป็นส่วนตัวกับ Son Content Mastery