Programmatic SEO คืออะไร?
Programmatic SEO (pSEO) คือ เทคนิคในการใช้ tool และการเขียนโปรแกรมเพื่อสร้างคอนเทนต์จำนวนมากแบบอัตโนมัติ โดยมีเป้าหมายเพื่อให้หน้าเว็บครอบคลุมคีย์เวิร์ดที่หลากหลาย และปกติแล้วจะเป็นคีย์เวิร์ดแบบเฉพาะเจาะจง แบบหางยาว หรือที่เรียกว่า long-tail keyword นั่นเอง
ซึ่งวิธีการนี้ช่วยให้เจ้าของเว็บไซต์สามารถสร้างหน้าเว็บจำนวนมากได้อย่างรวดเร็ว แบบอัตโนมัติ คือสามารถสเกลได้ ไม่ต้องทำแบบวิธีเดิม เช่น เขียนบทความทีละบทความ เป็นต้น
ผมจะลองยกตัวอย่างเว็บ Renthub ซึ่งเป็นเว็บยอดนิยมสำหรับหาหอพักหรือที่พักในไทย
จากตัวอย่างนี้ เว็บ Renthub ต้องสร้างหรือเขียนบทความทีละหน้าหรือไม่?
เมื่อลองคลิกเข้ามา
ซึ่งเพื่อน ๆ ลองนึกดูครับว่า Renthub นั้นต้องเขียนบทความทีละหน้าหรือไม่? ก็ไม่เนอะ เพราะว่าจังหวัดของไทยมีไม่รู้กี่จังหวัด รวมถึงอำเภอและโลเคชันต่าง ๆ คงไม่สามารถเขียนทีละบทความหรือทีละหน้าได้แน่ ๆ ดังนั้นจึงใช้เทคนิคของ pSEO นี่แหละ
โดยแต่ละหน้าก็จะโฟกัสไปที่คีย์เวิร์ดหรือหัวข้อที่เฉพาะเจาะจง ซึ่งช่วยเพิ่มโอกาสในการจัดอันดับสำหรับการค้นหาที่หลากหลาย
โครงสร้างของ Programmatic SEO
โดยโครงสร้างของ pSEO นั้นจะประกอบไปด้วยกลุ่มคีย์เวิร์ด 2 ส่วนที่สำคัญคือ
- Head Term
- Modifier
ซึ่งถ้ามี 2 ส่วนนี้ แสดงว่าเราสามารถทำ pSEO ได้เลย
จากตัวอย่าง เช่น
Head | Modifier |
Condo for rent | in Bangkok |
Condo for rent | in Phuket |
จะสังเกตเห็นว่า Head นั้นไม่เปลี่ยน แต่ตัวที่เปลี่ยนคือ Modifier ดังนั้นการที่เราจะทำ pSEO ได้นั้น ก็ต้องดูครับว่า มีความเป็นไปได้ของ Modifier มากน้อยแค่ไหน
ข้อดีของ Programmatic SEO
- ประหยัดเวลา สามารถสร้างเนื้อหาและหน้าเว็บจำนวนมากได้ในเวลาอันรวดเร็ว
- ครอบคลุมคีย์เวิร์ด ตอบสนองต่อการค้นหาที่หลากหลายและเฉพาะเจาะจง
- เพิ่มโอกาสในการจัดอันดับ เพราะด้วยจำนวนหน้าเว็บที่มากขึ้น โอกาสในการติดอันดับก็ย่อมเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
- ปรับแก้ไขได้ง่าย สามารถอัปเดตเนื้อหาจำนวนมากได้พร้อมกันอย่างรวดเร็ว ไม่ต้องทำทีละหน้าเหมือนอัปเดตหรือแก้บทความ
เริ่มทำ Programmatic SEO
การทำ Programmatic SEO นั้นประกอบด้วยขั้นตอนหลัก ๆ ดังนี้
1. การทำ Keyword Research
เริ่มต้นด้วยการ research คีย์เป้าหมายอย่างละเอียด โดยให้โฟกัสไปที่คีย์เวิร์ดแบบ Long-tail ที่มีปริมาณการค้นหา (Search Volume) ปานกลางถึงต่ำ แต่มี conversion rate สูง ใช้เครื่องมือเช่น เช่น Google Keyword Planner, Ahrefs, หรือ Semrush เพื่อค้นหาคีย์เวิร์ดที่เหมาะสม ที่ต้องการ
จากด้านล่างลองใช้ Semrush เพื่อหาคีย์เวิร์ดที่มีความเป็นไปได้
search volume ก็ต้องมีประมาณหนึ่ง (แต่ไม่จำเป็นต้องเยอะ)
ปกติคีย์เวิร์ดสำหรับ Programmatic SEO นั้นมักจะเป็น transactional intent/keyword คือมีโอกาสที่จะเกิด conversion สูง เพราะมีความเฉพาะเจาะจงนั่นเองครับ
2. การสร้างเทมเพลต
ออกแบบเทมเพลตสำหรับเนื้อหาที่จะสร้าง โดยกำหนดโครงสร้างที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามคีย์เวิร์ดหรือหัวข้อที่แตกต่างกัน (ศัพท์ทาง dev มักจะเรียกว่า ให้ dynamic ไปตามคีย์นั้น ๆ)
โดยเทมเพลตควรประกอบด้วยข้อมูลที่จำเป็นดังต่อไปนี้ (คร่าว ๆ อาจมีปรับ เพิ่ม ลด ตามแต่ละบริบทของแต่ละเว็บ)
- หัวข้อหลัก (H1)
- หัวข้อย่อย (H2, H3)
- เนื้อหาหลัก
- Meta title และ Meta description
- Alt text สำหรับรูปภาพ
3. การเก็บรวบรวมข้อมูล
รวบรวมข้อมูลที่จำเป็นสำหรับการสร้างเนื้อหา เช่น ข้อมูลผลิตภัณฑ์ สถิติ หรือข้อมูลเฉพาะทางอื่น ๆ ข้อมูลเหล่านี้จะถูกนำไปใช้ในการสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพและเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่าน โดยก็จะมาจาก data sources หลายแหล่ง เช่น จาก
- API (ทั้งฟรีและแบบจ่ายเงิน)
- Public Websites (ทำเว็บ scraping เอา)
- Internal Database (มีฐานข้อมูลของตัวเอง)
- ฯลฯ
4. การเขียนสคริปต์โปรแกรม
เขียนสคริปต์หรือโปรแกรมที่จะนำข้อมูลและคีย์เวิร์ดมาใส่ในเทมเพลตที่สร้างไว้ ซึ่งสคริปต์ที่ว่านี้ควรสามารถสร้างหน้าเว็บจำนวนมากได้โดยอัตโนมัติ โดยแต่ละหน้าจะมีเนื้อหาที่เป็นเอกลักษณ์และเกี่ยวข้องกับคีย์เวิร์ดที่กำหนด โดยภาษาที่ใช้ ก็ได้แก่ภาษาฝั่ง back-end (ฝั่ง server หลังบ้าน) ยอดนิยม เช่น ภาษา Python, PHP เป็นต้น เพราะต้องเอาไว้เขียนสคริปต์
ข้อควรระวัง
แน่นอนครับว่า ถึงแม้ Programmatic SEO จะมีจุดเด่นอยู่หลายข้อ แต่ก็มีข้อควรระวังที่สำคัญเลยคือ
1. คุณภาพของเนื้อหา
ต้องมั่นใจว่าเนื้อหาที่สร้างขึ้นมีคุณภาพสูงและเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่าน ไม่ใช่เพียงแค่การเอารวมคีย์เวิร์ดเข้าด้วยกัน (อาจจะ ranking ได้ในช่วงแรก แต่ถ้า signal อื่น ๆ เช่น bounce rate หรือ time on page ไม่ดี ก็อาจจะอันดับตกภายหลังได้)
2. ความซ้ำซ้อนของเนื้อหา (หรือ duplicate content)
คือด้วยความที่เนื้อหานั้นมันมีความซ้ำซ้อนกันมากเกินไป ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อการจัดอันดับได้ ดังนั้นก็ต้องชั่งน้ำหนักและวางแผนส่วนนี้ให้ดี
3. การอัปเดตข้อมูล
ข้อมูลต้องมีความทันสมัยอยู่เสมอ ควรมีระบบในการตรวจสอบและอัปเดตข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ
4. การปฏิบัติตามแนวทางของ Google
ต้องมั่นใจว่าวิธีการที่ใช้ไม่ขัดต่อแนวทางของ Google เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกลงโทษ (Penalty)
Success Cases
ตัวอย่าง success case ของการใช้ Programmatic SEO ก็มีอยู่มากมายหลากหลายเว็บ ดังที่ได้กล่าวไปด้านบน แต่ในตัวอย่างนี้ขอยกตัวอย่าง Tripadvisor ครับ มาสัก 1 ตัวอย่าง
Tripadvisor สร้างหน้ารีวิวโรงแรมและร้านอาหารจำนวนมหาศาลโดยอัตโนมัติ ครอบคลุมทุกเมืองทั่วโลก
ลองเสิร์ชคำว่า "Best hotels in [location]" เช่น "Best hotels in bangkok" ก็จะเจอ Tripadvisor ในหน้าแรกเสมอ (และลองเปลี่ยนจาก Bangkok เป็นเมืองอื่น ๆ ดูได้ครับ)
ลองเปลี่ยนเป็น london
และเมื่อเปิดเข้าไปหน้ารายละเอียด (ของ Bangkok) จะเจอโครงสร้างประมาณนี้ นี่แหละก็คือ Programmatic SEO นะครับ
สรุป
Programmatic SEO (หรือเรียกสั้นๆ pSEO) คือ เทคนิคที่ในการเพิ่มการมองเห็นของเว็บไซต์บนหน้าผลการค้นหา เหมาะสำหรับเว็บไซต์ที่มีข้อมูลจำนวนมากและหลากหลายอย่างไรก็ตาม การใช้ Programmatic SEO อย่างมีประสิทธิภาพนั้นต้องอาศัยการวางแผนที่ดีตั้งแต่เริ่มต้น ไม่ว่าจะเป็นการวางแผนคีย์เวิร์ด การออกแบบเทมเพลต การใส่ใจในคุณภาพของเนื้อหา และการติดตามผลอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น pSEO ถ้าทำถึง ถือเป็นอีกกลยุทธ์ที่นำมาซึ่ง traffic ได้อย่างมหาศาลเลยก็ว่าได้ครับ
ในคลาส Complete Web Marketing and Technical SEO Mastery Class ที่ผมกำลังจะจัดขึ้น มีสอนทำ pSEO ด้วยครับ จัดเต็ม!!