- Home
- บทเรียน SEO
-
Chapter 1: SEO (Search Engine Optimization) คืออะไร ?
SEO (Search Engine Optimization) คืออะไร ?
Son Content Mastery
Updated: Oct. 21, 2023ปัจจุบันค่าโฆษณาในแพลตฟอร์มต่าง ๆ มีแต่จะสูงขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าธุรกิจหวังพึ่งพาแต่ช่องทางนี้เพื่อให้คนเข้าถึงสินค้าหรือบริการของเรา วันไหนที่ไม่ได้โปรโมตหรือยิง Ads ก็จะไม่มีคนเห็นสินค้าของเรา แต่หลายคนอาจจะยังไม่ทราบว่า มันยังมีอีกวิธีที่สร้างความยั่งยืนในระยะยาว โดยเราสามารถเพิ่มคนเข้าเว็บไซต์ได้แบบไม่ต้องยิงแอดไปตลอด ก็ยังมีคนเข้าเว็บหรือเห็นบริการของเราอยู่เรื่อย ๆ วิธีการนี้เรียกว่าการทำ "SEO (Search Engine Opimization)"
SEO คืออะไร ?
SEO (Search Engine Optimization) คือ กระบวนการปรับ (optimize) เว็บไซต์เพื่อให้แสดงผลในหน้าแรกของ Search Engine (Google) โดยเราจะได้คนเข้าเว็บแบบ organic traffic (คือไม่ต้องเสียเงินค่าโฆษณา)
โดยปกติแล้วเมื่อพูดถึง Search Engine เราก็มักจะอ้างถึง Google ครับ เพราะว่ากูเกิลนั้นเป็นเสิร์ชเอนจินที่ได้รับความนิยมสูงสุดในโลก จากด้านล่างนี้คือ Market Share จะเห็นว่า Google แทบจะครองตลาดแบบเบ็ดเสร็จ
- Google: 93.12%
- Bing: 2.77%
- Yandex: 1.15%
- Yahoo: 1.11%
- Duckduckgo: 0.51%
- Baidu: 0.49%
Photo Credit: StatCounter
ยิ่งติดอันดับแรก ๆ เปอร์เซ็นต์ที่คนจะคลิกก็จะสูงตามไปด้วย
เปอร์เซ็นต์การคลิกของแต่ละอันดับที่แสดงผล
ประเภทของ SEO
ปกติแล้วจะถูกแบ่งออกเป็น 4 ประเภทหลัก ๆ ดังต่อไปนี้
- On-Page SEO: ศาสตร์ที่ว่าด้วยการปรับคอนเทนต์ให้ดีที่สุด (ปัจจัยที่เราควบคุมได้)
- Off-Page SEO: ศาสตร์ที่ว่าด้วยการอาศัย Backlink จากเว็บอื่น
- Technical SEO: ศาสตร์เกี่ยวกับการปรับเว็บโดยตรง เพื่อให้เอื้อต่อ SEO
- Local SEO: ศาสตร์ที่ว่าด้วยการทำให้บริการของเราไปแสดงผลบน Google โดยอ้างอิงตามโลเคชันของผู้ใช้งาน
ขั้นตอนการทำ SEO
นี่คือขั้นตอนหรือวิธีการทำ SEO แบบตั้งแต่เริ่มต้นกันเลย (สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสมของแต่ละคน) โดยผมได้เรียงอันดับจากแรกสุดไปหลังสุด
- Keyword Research: เป็นการวิเคราะห์คีย์เวิร์ดที่เราต้องการติดอันดับหน้าแรก Google
- Content Creation: ขั้นตอนในการสร้างคอนเทนต์เพื่อนำเสนอ user ที่ได้เสิร์ชหาข้อมูล โดยควรทำคอนเทนต์ให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้
- On-Page SEO: เป็นขั้นที่เราปรับคอนเทนต์ของให้สมบูรณ์แบบที่สุด อย่างที่ได้อธิบายไปก่อนหน้าแล้วครับว่า On-Page SEO เป็นปัจจัยภายในที่เราควบคุมได้
- Technical SEO: เป็นขั้นตอนการทำ SEO ที่ต้องคลุกคลีกับการปรับ performance ของเว็บไซต์ เช่น ความเร็วของเว็บ ความลื่นไหลในการใช้งาน ไปจนถึงการปรับ Site Structure (ซึ่งจริง ๆ แล้วควรจะออกแบบให้ดีแต่แรก)
- Link Building (Off-Page SEO): เป็นขั้นตอนในการสร้างลิงก์ย้อนกลับ (Backlink) จากเว็บอื่นมาที่เว็บของเรา ซึ่งขั้นตอนนี้เป็นสิ่งที่เราควบคุมได้ยาก หรือเป็นปัจจัยภายนอก ซึ่งเราต้องรอให้เว็บอื่นลิงก์มาหาเรา
- Monitoring & Tracking SEO Result: เป็นการขั้นตอนสุดท้ายของการทำ SEO ซึ่งเราต้องคอยติดตามและวัดผลอยู่เสมอ ๆ ครับ โดยในเบื้องต้นแล้วก็จะมีเครื่องมือที่คนทำ SEO และเว็บไซต์ทุกคนต้องมีคือ Google Search Console
Note: จริง ๆ แล้วขั้นตอนแรกจากประสบการณ์ทำ SEO ของผม จะเป็น Site Audit แต่ในที่นี้ผม assume ไปแล้วว่าเพื่อน ๆ น่าจะมีเว็บไซต์เป็นของตัวเองครับ แต่ถ้าไม่มีสามารถสดตัวต่อตัวกับผมได้กับ คอร์ส SEO Mastery (ปล.เป็นแบบเขียนโค้ดนะ แต่ไม่ยากเกินไปแน่นอน) หรือถ้าต้องการแบบรวดเร็วก็จ้างผมทำเลยก็ได้เช่นกัน :)
SEO กับยิง Ads อันไหนเวิร์คกว่ากัน ?
สองวิธีการนี้มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป ไม่ได้มีวิธีการไหนที่ดีที่สุด เพราะว่าในบางธุรกิจอาจจะเหมาะสำหรับ SEO หรือบางธุรกิจการยิงแอดก็อาจจะตอบโจทย์กว่า รวมไปถึง timing (ช่วงระยะเวลาที่เหมาะสม)
ยกตัวอย่าง คุณเพิ่งเปิดร้านค้าหรือบริการขึ้นมาใหม่ ถ้าหากจะต้องรอเซ็ตเว็บ เขียนบทความ ทำคอนเทนต์เพื่อดึงหรือรอคนเข้าเว็บแบบ organic แล้วนั้น มันอาจจะไม่ทันกินก็ว่าได้ ดังนั้นคุณสามารถซื้อโฆษณาเพื่อเป็นจุดเริ่มต้น ให้คนรู้จักสินค้าของเราก่อน จากนั้นเมื่อดำเนินกิจการไปได้สักระยะหนึ่ง พร้อมพิสูจน์แล้วว่ามันมีโอกาสและความเป็นไปได้ในธุรกิจ จึงอยากจะสร้างความยั่งยืนควบคู่กันไป ตอนนี้แหละครับที่ SEO จะเริ่มเข้ามามีบทบาท
เปรียบเทียบ SEO และการยิงแอด Facebook
จากภาพกราฟด้านบน ผมไม่ได้จะมาดิสเครดิตการยิงแอด Facebook แต่อย่างใด เพราะว่ามันก็เคยเป็นอีกช่องทางที่ทำเงินให้กับผมได้พอสมควร แค่อยากจะสื่อว่า SEO คุณทำครั้งเดียว กินได้ยาว ๆ (ในความเป็นจริงก็ไม่เชิงครั้งเดียวหรอก) แต่ Facebook ถ้าคุณไม่เติมเงินลงไป การมองเห็น (Impression) ก็จะเป็น 0
SEO คือส่วนหนึ่งของ Search Engine Marketing
SEO เป็นหนึ่งในสายงานของการตลาดแบบ Search Engine Marketing เพราะว่าจริง ๆ แล้วมันไม่ได้มีแค่ SEO ครับในตลาดของเสิร์ชนี้ มันจะมีอีกตัวหนึ่งที่เรียกว่า "SEM" ดังนั้นลองมาดูครับว่า SEO และ SEM ต่างกันยังไง
- SEO: (Search Engine Optimization) การทำ SEO นั้นจะเป็นการปรับเว็บไซต์และคอนเทนต์ให้แสดงผลบน Google โดยไม่ต้องเสียเงินค่าโฆษณา
- SEM: (Search Engine Marketing) การทำการตลาดบนเว็บไซต์ในรูปแบบจ่ายค่าโฆษณาเพื่อเพิ่มการมองเห็น (Paid Traffic) โดยส่วนใหญ่มักจะอยู่ในรูปแบบ PPC (Pay-Per- Click) คิดค่าโฆษณาตามจำนวนการคลิก
SEO vs SEM
ถ้าพูดแบบภาษาทั่วไป SEM ก็คือการซื้อโฆษณา Google นั่นเองครับ
ประโยชน์ของการทำ SEO
ทำไมเราถึงต้องทำ SEO? นี่คือคำถามที่เราต้องถามก่อนเป็นอันดับแรกเลยครับ นอกจากเบื้องต้นที่เรารู้แล้วว่ามันสามารถเพิ่มคนเข้าเว็บได้แบบไม่เสียเงินค่าโฆษณา
แล้วคนเข้าเว็บเพิ่มขึ้นมันดียังไง มันจะนำมาซึ่งอะไรหรือ ? นี่เป็นสิ่งที่เราต้องรู้ก่อนครับ เราจะได้มีแรงจูงใจในการทำ SEO
- คนเข้าเว็บเพิ่มขึ้น
- การรับรู้ของเว็บ/ธุรกิจเพิ่มขึ้น
- ยอดขายเพิ่มขึ้น
- ลดค่าโฆษณาของธุรกิจ
- ความน่าเชื่อถือให้กับเว็บของเราเพิ่มขึ้น
- ความยั่งยืนของธุรกิจในระยะยาว
- ฯลฯ
1. ได้คนเข้าเว็บหรือ traffic เพิ่มขึ้น
อันดับแรกเลยคือ traffic หรือคนเข้าเว็บของเราจะเพิ่มขี้นอย่างแน่นอนครับ แต่จะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของเราแล้วล่ะ ส่วนคนเข้าเว็บเพิ่มนี่ก็เปรียบเสมือนว่าเราสร้างทำเลขายของที่เจ๋ง ๆ ให้กับตัวเองใช่ไหมครับ
ก่อนทำ SEO vs หลังทำ SEO
แน่นอนว่าคนก็จะเข้ามาเห็นสินค้าหรือบริการของเราเพิ่มขึ้น แล้วมันจะนำมาสู่อะไรล่ะ ?
2. ได้ยอดขายเพิ่มขึ้น
แน่นอนครับว่าเมื่อคนเข้าเว็บเพิ่มขึ้น คนเห็นสินค้าหรือบริการเรามากขึ้น มันก็จะนำมาสู่โอกาสในการที่เราจะได้ยอดขายเพิ่มขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย ยกตัวอย่างง่าย ๆ ร้านค้าของนาย A วันหนึ่งมีคนเดินผ่านหน้าร้าน 10 คน ส่วนร้านค้าของนาย B วันหนึ่ง ๆ มีคนเดินผ่านหน้าร้าน 1,000 คน เพื่อน ๆ คิดว่าร้านของใครมีโอกาสที่จะได้ยอดขายมากกว่าครับ ?
3. ได้ Brand Awareness เพิ่มขึ้น
การทำ SEO จะช่วยให้การรับรู้ (Brand Awareness) ของเราเพิ่มขึ้น เพราะว่าคนเข้าเว็บเราเยอะขึ้น เกิดการรับรู้ เกิดภาพจำซ้ำๆ เกี่ยวกับแบรนด์ของเรามากขึ้นตามไปด้วย
4. ลดค่าโฆษณาของธุรกิจ
จากปกติที่ใครหลายคนต้องพึ่งพาแต่การโฆษณาเป็นหลัก ซึ่งส่วนนี้ก็ถือว่าเป็นค่าใช้จ่ายทางธุรกิจที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ในวันที่เราไม่ได้อัดงบหรือโปรโมตโฆษณาของเรา ลูกค้าก็จะมองไม่เห็นสินค้าหรือบริการของเรา แต่ SEO นั้นไม่ใช่แบบนั้น เพราะว่าเราไม่ต้องจ่ายค่าโฆษณา แต่คนก็เข้ามาเห็นสินค้าหรือบริการของเราได้เรื่อย ๆ ผ่านการค้นหาจาก Google (แต่เราก็ต้องคอยติดตามและอัปเดตคอนเทนต์อยู่เสมอ)
5. เพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเว็บหรือแบรนด์ของเรา
การทำ SEO นั้นเหมือนจะเป็นการบังคับให้เราต้องทำคอนเทนต์หรือเนื้อหาที่เป็นประโยชน์กับ users เพราะว่ายิ่งเนื้อหาของเว็บเราดีมากเท่าไหร่ ความเชื่อถือต่อแบรนด์หรือธุรกิจของเราก็จะเพิ่มสูงขึ้นเท่านั้น คุณคงไม่ได้อยากแค่ทำคอนเทนต์ขยะให้คนที่เสิร์ชมาเจอแล้วเสพคอนเทนต์แบบนั้นเพียงแค่หวังผลทาง SEO อย่างเดียวใช่ไหมครับ ? ผมเชื่อว่าส่วนใหญ่แล้วพยายามทำคอนเทนต์หรือบทความให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้อยู่แล้ว
6. ความยั่งยืนของธุรกิจในระยะยาว
ด้วยประโยชน์ต่าง ๆ ของการทำ SEO ที่ได้กล่าวมาข้างต้นนั้น เชื่อว่าถ้าเราทำ SEO สำเร็จแล้วนั้น มันจะนำมาซึ่งความยั่งยืนของธุรกิจเราได้ในระยะยาวอย่างแน่นอนครับ เพราะเราสร้างความน่าเชื่อถือให้กับเว็บหรือแบรนด์ ลดค่าโฆษณาได้ มีคนเข้าเว็บแล้วเจอสินค้าและบริการของเราเยอะมากขึ้น คนบอกกันปากต่อปาก ฯลฯ
แต่จุดด้อยของ SEO ก็มี !!
ใช่ว่าจะมีแต่ความสวยหรูหรือข้อดีเต็มไปหมดเสียทีเดียว มาดูข้อด้อยกันครับ
- ใช้เวลาในการทำนาน: เพราะว่าการทำ SEO ไม่ได้เห็นผลทันทีเหมือนยิงแอดที่เราสามารถเติมเงินแล้วกด boost โพสต์ได้เลยเหมือนดังเช่น Facebook, IG, etc ดังนั้นหากเราไม่มีความเข้าใจตรงจุดนี้ดี จะทำให้รู้สึกว่าไม่เห็นผล หรืออาจจะเห็นผลช้า
- ความซับซ้อน: การทำ SEO ไม่ได้มีเพียงแค่การทำคอนเทนต์ให้ดี แล้วจะติดหน้าแรก Google ได้ หากได้ศึกษาลงไปให้ลึกแล้วจะพบว่า ยังมีปัจจัยทางด้านเทคนิคอีกหลายส่วนที่เกี่ยวข้อง เชื่อมโยงกัน ดังนั้นการที่จะเรียนหรือทำ SEO ให้เข้าใจแบบถ่องแท้ได้นั้น สกิลอย่างการตรวจสอบหรือปรับปรุงเว็บไซต์หรือทำ Site Audit ได้ ก็เป็นอีกหนึ่งทักษะที่จำเป็น อาจจะไม่ต้องถึงกับขนาดต้องสร้างเว็บหรือเขียนโค้ดขึ้นมาเองได้ (แต่ถ้าทำได้ มันก็ย่อได้เปรียบคนอื่นใช่ไหมครับ ?)
- วัดผลได้ยากกว่าการยิงแอด: เอาจริง ๆ มันวัดผลได้อยู่แล้วแหละ แต่... มันวัดไม่ได้ง่ายและตรงไปตรงมา เช่น การยิงแอด สมมติเรากำลังยิง Facebook Ads หลังยิงสามารถวัดผลได้ทันทีว่า วันนี้คนเห็นโพสต์กี่คน ทักข้อความมากี่คน ปิดการขายได้กี่ออเดอร์ ซึ่งมันค่อนข้างชัดเจนและตรงไปตรงมากว่า ส่วน SEO นั้นมิติในการวัดผลมันน้อยกว่า โดยส่วนใหญ่จะวัดผลจากทราฟฟิกหรือคนเข้าเว็บ ปริมาณการคลิกในคีย์เวิร์ดหรือเว็บเพจหน้านั้น ๆ เป็นต้น
- Google ปรับอัลกอริทึมบ่อย: เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาหลังจากอัปเดตบทความนี้ ก็มีการประกาศอย่างเป็นทางการจากเว็บของ Google Search Central ว่าจะลบหรือลดการแสดงผล Rich Results ในส่วนของ FAQ และ HowTo ซึ่งทำเอาคนที่ทำ SEO ปวดหัวได้เลย เช่น บางคนที่ได้ปรับ Schema Markup หรือ JSON-ld เพื่อให้แสดงผลแบบ Rich Results ก็อาจจะเป็นการสูญเปล่า เพราะว่า Google จะไม่แสดงผลในส่วนนี้อีกต่อไป
สรุป
SEO คือ วิธีในการปรับเว็บไซต์และคอนเทนต์ เพื่อให้ติดอันดับในหน้าแรก ๆ ของ Search Engine เช่น Google โดยเราจะได้คนเข้าเว็บแบบออแกนิค ไม่ต้องจ่ายเงินค่าโฆษณา ส่งผลต่อความยั่งยืนของธุรกิจในระยะยาว โดยการทำ SEO ประกอบไปด้วย On-Page, Off-Page, Technical SEO, Local SEO ข้อควรคำนึงในการทำ SEO นั้น ต้องใช้ความอดทน เพราะว่ามันไม่ได้เห็นผลในทันทีทันใดเหมือนการยิงแอด แต่ถ้าสำเร็จแล้วก็กินได้ยาว ๆ หวังว่าบทความนี้จะทำให้เพื่อน ๆ หรือคุณผู้อ่านมองภาพรวมของ SEO ออกนะครับ :)
FAQ
พร้อมอัพสกิล SEO เต็มรูปแบบ ?
เพราะเวลาเป็นสิ่งมีค่ายิ่ง ลดระยะเวลาลองผิดลองถูกด้วยตัวเอง กับคอร์สเรียน SEO + Web เข้าใจ SEO ในทุกมิติ เข้าใจเบื้องลึกเบื้องหลังการทำงานของเว็บ พร้อมทั้งสามารถทำ Technical SEO ได้อย่างไม่มีปัญหา ปิดจุดด้อยทุกจุด กับคลาสเรียนแบบเป็นส่วนตัวกับ Son Content Mastery