ในยุคที่ใครๆ ก็มีเพจ Facebook, ช่อง TikTok, หรือร้านค้าบน Shopee/Lazada คำถามที่ผมเจอบ่อยมากก็คือ "แล้วเรายังจำเป็นต้องมีเว็บไซต์เป็นของตัวเองอีกเหรอ?
บางคนอาจจะมองว่ามันยุ่งยาก สิ้นเปลือง และดูเหมือนจะไม่ทันใจเท่าการขายของบนโซเชียลมีเดีย ยิงแอดปุ๊บ ยอดขายมาปั๊บ!
แต่จากประสบการณ์ที่ผมคลุกคลีอยู่ในวงการนี้มา ผมขอยืนยัน นั่งยัน นอนยันเลยครับว่า การมีเว็บไซต์เป็นของตัวเอง ไม่ใช่แค่ "ทางเลือก" แต่คือ "อีกหัวใจสำคัญ" ของการสร้างธุรกิจออนไลน์ที่ยั่งยืนก็ว่าได้เลยครับ
วันนี้ผมจะมาอธิบายให้เห็นภาพชัด ๆ กับ 8 เหตุผลเน้น ๆ ว่าทำไมแบรนด์หรือธุรกิจของเพื่อน ๆ ต้องมีเว็บไซต์เป็นของตัวเองครับ
1. เว็บไซต์คือ "บ้าน" ของเราจริง ๆ
การมีเพจหรือร้านค้าบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย มันก็เหมือนกับการที่เราไป "เช่าพื้นที่" ในห้างสรรพสินค้าใหญ่ ๆ ครับ สะดวกสบาย มีคนเดินผ่านเยอะก็จริง แต่สุดท้ายแล้วเราก็ต้องเล่นตามกฎของเจ้าของห้างอยู่ดี ไม่ว่าจะเป็นการโดนหักค่า GP การเจอสงครามตัดราคาจากร้านข้าง ๆ หรือการเปลี่ยนแปลงนโยบายที่กระทบเราได้ตลอดเวลา

ผู้ขายในแพลตฟอร์มโดนค่า GP จาก TikTok ไปมากกว่า 2 ล้าน+ (แหล่งที่มา: Facebook: Thanatporn Srikasame)
แต่เว็บไซต์คือ "บ้าน" ที่เราเป็นเจ้าของโฉนดเอง 100% ครับ เราสามารถออกแบบตกแต่งได้เต็มที่เรากำหนดกฎเกณฑ์และประสบการณ์ของลูกค้าได้เอง มีกำไรได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย และสร้างความสัมพันธ์โดยทำ CRM กับลูกค้าได้โดยตรง โดยไม่ต้องกลัวว่าวันดีคืนดีเจ้าของแพลตฟอร์มจะมาไล่ที่เรา หรือขึ้นค่าเช่าจนน่าตกใจครับ
2. เป็นเจ้าของข้อมูลลูกค้า (1st Party Data) ที่แท้จริง
นี่คือประเด็นที่สำคัญมากในยุค Data-Driven ครับ คือ
- บนโซเชียลมีเดียเราได้แค่ 3rd Party Data ครับ คือเราเห็นแค่ยอดไลก์ ยอดแชร์ แต่เราไม่มีทางรู้เลยว่าคนที่มา Follow เราเป็นใคร มาจากไหน ไม่มีอีเมลหรือข้อมูลติดต่อโดยตรงของพวกเขาเลย เจ้าของข้อมูลตัวจริงคือ Facebook, TikTok ครับ 
- บนเว็บไซต์ของเรา เราสามารถเก็บ 1st Party Data ได้โดยตรง คือทุกครั้งที่มีคนมาสมัครสมาชิก ลงทะเบียนรับ Newsletter หรือกรอกฟอร์มติดต่อ เราจะได้ข้อมูลสำคัญอย่างอีเมลหรือเบอร์โทรศัพท์มาเก็บไว้เป็น digital assets ของเราเอง ซึ่งสามารถนำไปต่อยอดทำ CRM, Email Marketing, หรือสร้างแคมเปญการตลาดที่ตรงจุดได้ในอนาคต 
จากตัวอย่างด้านล่าง ผมทำเว็บขายสินค้า (Ecommerce เว็บ) และแน่นอนว่าใช้กลยุทธ์ Ecommerce SEO โดยลูกค้าก็จะเสิร์ชหาสินค้า แล้วไปเจอเว็บของผมที่อยู่หน้าแรก แล้วกดเข้าดูสินค้า ผมก็จะมีปุ่ม Add Friend (LINE) แล้วลูกค้าก็จะทักเข้ามาซื้อผ่าน LINE ผมก็จะได้ลิสต์ของลูกค้าเก็บไว้ในมือเป็น digital assets อีกทาง รอบหน้าถ้าผมมีสินค้าหรือบริการคล้าย ๆ กัน ผมก็สามารถบรอดแคสต์ไปหาลูกค้าในลิสต์เพื่อเสนอขายสินค้าหรือบริการได้อีกยาว ๆ

อันนี้คือแชทกับลูกค้าเพิ่งเสร็จเลยครับ เพื่อคอนเฟิร์มการส่งของ (ณ ช่วงสาย ๆ วันเสาร์ที่ 26 กรกฎาคม 2568)

3. เว็บไซต์คือกระจกที่สะท้อนตัวตนของแบรนด์ได้ดีที่สุด
บนโซเชียลมีเดีย เราถูกจำกัดด้วยกรอบ หรือ template ของแพลตฟอร์มนั้น ๆ แต่บนเว็บไซต์ เราคือคนที่ควบคุมได้ทุกอย่าง
เราสามารถออกแบบ Mood & Tone, การใช้สี, ฟอนต์, รูปแบบการนำเสนอ, และ User Experience (UX) ทั้งหมดให้สะท้อนตัวตนของแบรนด์เราได้อย่างเต็มที่
เว็บไซต์ที่ออกแบบมาอย่างดี จะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือและความเป็นมืออาชีพ ทำให้ลูกค้ามั่นใจในแบรนด์ของเราได้มากกว่าการมีแค่หน้าเพจโซเชียลเพียงอย่างเดียว
4. คอนเทนต์บนเว็บ "ไม่มีวันหมดอายุ" (Evergreen Content)
เคยโพสต์โปรโมชันเด็ด ๆ บน Facebook ที่เราตั้งใจทำมาก ผ่านไปแค่ไม่กี่วันก็ไหลหายไปจากหน้าฟีดแล้ว... นั่นคือธรรมชาติของโซเชียลมีเดียครับ
แต่คอนเทนต์บนเว็บไซต์จะคงอยู่ตลอดไป และยิ่งนานวันก็ยิ่งมีคุณค่ามากขึ้นในสายตาของ Google ครับ บทความดี ๆ ที่เราเขียนไว้วันนี้ อาจจะยังคงสร้าง Organic Traffic และดึงดูดลูกค้าใหม่ ๆ ให้เราได้อีกใน 3-5 ปีข้างหน้าโดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเลย นี่คือพลังของ Evergreen Content ที่โซเชียลมีเดียให้เราไม่ได้ ยิ่งถ้า optimize เว็บ และทำ SEO ดี ๆ เนี่ยะกินได้ยาว ๆ เลยครับจากคอนเทนต์นั้น
5. มีอิสระในการสร้างสรรค์คอนเทนต์ที่ไร้ขีดจำกัด
บนเว็บไซต์ เราสามารถสร้างคอนเทนต์ได้หลากหลายรูปแบบโดยไม่ถูกจำกัดด้วยอัลกอริทึมหรือฟอร์แมตของแพลตฟอร์มไหน ๆ เลยครับ ออกแบบและทำแบบฟรีสไตล์ได้โลด เช่น
- อยากเขียนบทความเชิงลึก (แบบ Long-form Content) 
- อยากทำ Infographic สวย ๆ 
- อยากฝังวิดีโอจาก YouTube หรือ Vimeo 
- อยากสร้างเครื่องมือคำนวณออนไลน์ (เช่น Interactive Tools) 
- อยากทำหน้า Portfolio โชว์ผลงานหรือโปรโมตตัวเองแบบจัดเต็ม 
ตัวอย่างหน้า interactive tool อย่าง SEO Checklist ที่ผม custom ขึ้นมาเพื่อสร้าง UX ที่ดีที่สุดสำหรับ User เห็นไหมครับว่า custom เองได้ตามต้องการเลย

ตัวอย่างหน้า interactive tool
ซึ่งเว็บไซต์ให้ความยืดหยุ่นในการแสดงผลคอนเทนต์ที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายของเราได้เต็มที่ที่สุดครับ
6. เว็บไม่โดนแบนหรือโดนปิดง่าย ๆ
นี่คือฝันร้ายของผู้ประกอบการออนไลน์หลาย ๆ คนเลยครับ วันดีคืนดี ตื่นมาแล้วพบว่าบัญชี Facebook หรือ TikTok ที่เราปั้นมากับมือมาเสียนมนานโดนแบนหรือโดนปิดโดยไม่ทราบสาเหตุ... นั่นหมายถึงฐานลูกค้าและคอนเทนต์ทั้งหมดอาจจะหายวับไปในพริบตา

เพจ Facebook เซียนเป็ดผู้ติดตามกว่า 2 แสน โดนปิดเฉย (ที่มา: YouTube เซียนเป็ด)
แต่การมีเว็บไซต์เป็นของตัวเองคือที่ ๆ ปลอดภัยที่สุดแล้วครับผมว่า เพราะเราเป็นเจ้าของและควบคุมทุกอย่างได้เอง 100% ไม่ต้องเสี่ยงเอาธุรกิจทั้งชีวิตไปฝากไว้บนแพลตฟอร์มที่เราควบคุมไม่ได้
แต่ไม่ได้หมายถึงไม่ให้ทำโซเชียลนะ ก็ทำควบคู่กันไปได้นั่นแหละ แต่ถ้าเรามีเว็บมันอุ่นใจกว่า
7. Traffic จาก Google คือ Traffic คุณภาพ
Traffic จาก Google Search นั้นมีคุณค่ามากกว่า Traffic จากช่องทางอื่นในหลายกรณีครับ เพราะมันเป็น "Pull Marketing"
- บนโซเชียลมีเดีย มันคือ Push Marketing เรา "ผลัก" โฆษณาหรือคอนเทนต์ไปให้คนเห็น ซึ่งเขาอาจจะยังไม่ได้มีความต้องการในตอนนั้น 
- บน Google Search เป็นแนว Pull Marketing คนที่มีความต้องการหรือปัญหาอยู่ในใจแล้ว เป็นฝ่าย "วิ่งเข้ามาหา" เราเองโดยตรงผ่านการเสิร์ช ซึ่งอันนี้จะเรียกอีกแบบว่า Inbound Marketing ก็ได้เช่นกันครับ 
เห็นไหมครับว่าคนที่มาจาก Google มักจะมีเจตนาในการซื้อ (Commercial Intent) ที่ชัดเจนและสูงกว่า ทำให้มีโอกาสเปลี่ยนเป็นลูกค้าได้ง่ายกว่านั่นเองครับ (อ่านเพิ่มเติมได้ใน Search Intent ของ user ในการเสิร์ชหาข้อมูล)
8. เก็บข้อมูลและวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า (Analytics) ได้ลึกกว่า
ด้วยการติดตั้งเครื่องมือยอดนิยมอย่าง Google Analytics 4 (GA4) บนเว็บไซต์ เราสามารถติดตามและวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้งานของลูกค้าได้อย่างลึกซึ้งในทุกมิติครับ เช่น
- คนเข้าเว็บมาจากช่องทางไหนมากที่สุด? 
- พวกเขาใช้เวลาอยู่หน้าไหนนานที่สุด? 
- Customer Journey บนเว็บเป็นอย่างไร? 
- ลูกค้าส่วนใหญ่ "เท" หรือออกจากหน้าชำระเงินในขั้นตอนไหน? 
ข้อมูลเชิงลึกเหล่านี้คือขุมทรัพย์ที่ช่วยให้เราสามารถปรับปรุงเว็บไซต์และกลยุทธ์การตลาดให้มีประสิทธิภาพสูงยิ่งขึ้นไปอีกได้ ซึ่งแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียทั่วไปไม่สามารถให้ข้อมูลที่ละเอียดและ custom ได้เท่านี้ครับ
สรุป
เป็นอย่างไรบ้างครับกับ 8 เหตุผลเน้น ๆ ที่ผมนำมาฝากกัน จะเห็นได้ว่าการมีเว็บไซต์เป็นของตัวเองมันไม่ใช่แค่เรื่องของความน่าเชื่อถือเท่านั้น แต่มันคือการวางรากฐานที่แข็งแกร่งให้กับธุรกิจในระยะยาว ทั้งในแง่ของการเป็นเจ้าของข้อมูล, การสร้างแบรนด์, การลดความเสี่ยง, และการเข้าถึงลูกค้าคุณภาพสูง
 
        