อย่างที่หลายคนน่าจะพอทราบกันว่า ตอนนี้ Bing เป็นอีกเสิร์ชเอนจินที่กำลังมาแรง เพราะได้รับอานิสงส์จาก LLM (Large Language Model) อย่าง GPT ของ OpenAI เลยทำให้สามารถนำฟีเจอร์ต่าง ๆ ที่เป็นพลังของ GPT มาติดปีกให้กับ Bing ได้ ดังนั้น Bing จึงได้รับความนิยมขึ้นกว่าแต่ก่อนเยอะ (มีสถิติด้านล่างประกอบ)
Market share ในปี 2015 (Image source: statista.com)
Market share ในปี 2024 (Image source: statista.com)
เมื่อดู market share เทียบกันระหว่างปี 2015 และปีนี้ 2024 จะเห็นว่า เพิ่มจาก 3.95% พุ่งขึ้นมาที่ 10.51% เลยทีเดียว
Recap
รู้หรือไม่ครับว่า เวลาที่เราค้นหาในแต่ละเบราว์เซอร์นั้น ถ้าเบราว์เซอร์ที่ใช้ Search Engine ต่างกัน ผลลัพธ์ในการค้นหาก็จะแตกต่างกันตามไปด้วย (เพราะว่าแต่ละ Search Engine มี Ranking Algorithms ที่แตกต่างกัน) เช่น เราค้นบน Google Chrome, Firefox หรือแม้แต่ Apple Safari โดยสามตัวนี้ใช้ Google Search เป็นตัว default ก็จะได้ผลลัพธ์แบบเดียวกัน แต่ถ้าไปค้นบน Microsoft Edge (Bing Search) ก็จะได้ผลลัพธ์อีกแบบ เพราะเสิร์ชเอนจินคนละตัวนั่นเอง
ทำไมต้องทำ SEO บน Bing?
- กำลังได้รับความนิยม
- การแข่งขันยังน้อยเมื่อเทียบกับ Google
- มีเครื่องมือที่ครบครันสำหรับวัด performance เว็บไซต์และเอื้อต่อการทำ SEO ไม่แพ้ Google
- มี Keyword Research Tool ให้แบบเน้น ๆ
- ฯลฯ
Bing Webmaster tools
Bing มีเครื่องมือหนึ่งที่ชื่อว่า Bing Webmaster ซึ่งฟีเจอร์และการใช้งานดูคล้ายกันกับ Google Search Console มากเลยครับ (แทบจะ clone กันมาเลยก็ว่าได้ lol) ดังนั้นทำให้เราสามารถ track คีย์เวิร์ดหรือหน้าเว็บของเราที่ติดอันดับบน Bing Search ได้เป็นอย่างดี
นี่คือหน้าแดชบอร์ดของ Bing Webmaster ในส่วนของ Search Performance
แดชบอร์ดสำหรับ Search Performance บน Bing
ถ้าลองดูจำนวน Impression เทียบกันระหว่าง Google และ Bing ก็ชัดเจนอยู่แล้วครับว่าของ
Bing นั้นน้อยกว่าอยู่แล้ว
Search Performance บน Google Search Console
แต่ถ้าเรามีโอกาสได้ traffic จากทั้ง 2
แพลตฟอร์มล่ะ ? ก็ดีกว่าอยู่แล้วเนอะ
Bing มี Keyword Research Tool
มี Keyword Research Tool ให้ด้วย (ซึ่ง Google Search Console ไม่มีฟีเจอร์แบบนี้ให้ครับ)
จากภาพด้านบน
- หมายเลข 1. Related Keywords: แสดงผลคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้อง (Related Keywords) นอกจาก Root Keyword ของเรา
- หมายเลข 2. Trends: แสดงผลเทรนด์ของคีย์เวิร์ดนั้น ๆ ให้เห็นเป็นกราฟ
- หมายเลข 3. Impressions: แสดงจำนวนการแสดงผลบน Bing Search ของคีย์เวิร์ดนั้น ๆ เมื่อคนค้นหา
SEO Guidelines จาก Bing
ต่อไปนี้คือ SEO Guidelines จาก Bing ครับ ซึ่งผมเอามาเขียนทั้งหมดไม่ได้เนอะ เอาเป็นว่าจะเอามาเฉพาะบางส่วนเท่านั้น เพราะหลาย ๆ ส่วนที่ไม่ได้พูดถึง มันก็คล้าย ๆ กับการทำ SEO บน Google นั่นแหละ แตกต่างกันในบางส่วนที่เป็นรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย
Sitemap
Bing บอกว่าควรมี Sitemap เพื่อให้ Bingbot เก็บเกี่ยวข้อมูลในเว็บไซต์ของเราได้ดีขึ้น ใช้ URLs ที่ต่อเนื่อง ไม่สลับไปมา (เช็คให้ดีว่าเราใช้เวอร์ชันที่เป็น canonical URLs) เอาจริง ๆ ตรงนี้ทาง Google นั้นไม่ได้ concern ตรงนี้เลยครับ จะมีหรือไม่มีก็ได้ แต่มีก็ดีกว่าอยู่แล้ว เพียงแต่ว่า Bing นั้นแนะนำว่าควรมี
ไฟล์ sitemap นั้นรองรับได้สูงสุด 50,000 URLs (หรือขนาด 50MB) ถ้ามี URLs เยอะหรือเว็บใหญ่ ๆ แนะนำให้ซอยย่อยเป็นหลาย ๆ ไฟล์ และ Bing เน้นตัว <lastmod> ด้วยครับ เพื่อส่ง signal ให้ Bingbot รู้ว่าเราแก้ไขล่าสุดไปเมื่อไหร่
ตัวอย่างไฟล์ sitemap.xml
<?xml version="1.0" encoding="UTF-8"?>
<urlset xmlns="http://www.sitemaps.org/schemas/sitemap/0.9">
<url>
<loc>https://www.yourwebsite.com/</loc>
<lastmod>2024-02-16</lastmod>
<changefreq>daily</changefreq>
<priority>1.0</priority>
</url>
<url>
<loc>https://www.yourwebsite.com/blog/sample-post/</loc>
<lastmod>2024-02-14</lastmod>
<changefreq>weekly</changefreq>
<priority>0.8</priority>
</url>
<url>
<loc>https://www.yourwebsite.com/products/product-1</loc>
<lastmod>2024-02-10</lastmod>
<changefreq>monthly</changefreq>
<priority>0.7</priority>
</url>
</urlset>
Backlinks และ Internal Links
Backlink ยังคงเป็นอีกปัจจัยสำคัญในการบ่งบอกความนิยมของเว็บไซต์ ซึ่งเป็น signal ที่สำคัญส่งให้ Bingbot รู้ว่าเว็บมีคุณภาพ น่าเชื่อถือ ซึ่ง Bing ชัดเจนว่าให้น้ำหนักในส่วนนี้พอสมควร (แต่ต้องเป็นลิงก์คุณภาพนะครับ ไม่ใช่ spam links ที่ไปซื้อมาในราคาถูก)
และอย่าลืม Internal Links ด้วยล่ะ เพราะ Bingbot จะค้นหาหน้าเว็บเพจต่าง ๆ ในเว็บไซต์ของเราได้สะดวกมากยิ่งขึ้น (อันนี้น่าจะหมายถึงพวก links ในบทความหรือเนื้อหาหลักของเราครับ ควรจะมีอย่างน้อยที่ส่ง internal link ออกไปสัก 1 ลิงก์ก็ยังดี หรือจะมากกว่านี้ก็ตามความเหมาะสมของเนื้อหา ส่วนพวก Navigation Links ต่าง ๆ เช่น Navbar, Footer ก็ปรับตามเหมาะสม เพื่อให้ users ใช้งานในเว็บของเราได้สะดวก)
Hreflang
ถ้าเว็บเรารองรับ target audience
หลากหลายภาษา อย่าลืมใส่ hreflang (ซึ่งตัวนี้น่าจะมีเป็น default ใน
WordPress ไหมนะ แต่ถ้าเว็บที่โค้ดขึ้นมาเอง
อย่าลืมบอกโปรแกรมเมอร์ตรงจุดนี้) แต่ถ้าใครที่ทำตรงนี้ไว้ก่อนแล้วก็หายห่วงได้ครับ
JavaScript เว็บ
โดยปกติแล้วเว็บไซต์ที่พัฒนาด้วย JavaScript (JS) จะไม่ค่อย friendly กับ SEO นัก เพราะว่าเสิร์ชเอนจินนั้นมักจะมีปัญหากับการไป crawl หน้าเว็บที่สร้างด้วย JS ดังนั้นถ้าไม่ได้ปรับตรงนี้ให้ดีเว็บของเราอาจไม่ได้รับการ crawl อย่างเหมาะสม ทำให้เสิร์ชเอนจินมาเก็บข้อมูลในหน้าเว็บเพจของเราได้ไม่ครบหรืออาจจะไม่ได้เลย (อันนี้ต้องดีลกับ dev ให้ดี ๆ ก่อนว่า เว็บที่กำลังใช้ JavaScript ทำเนี่ยะ ต้องมีพวก SSR: Server Side Rendering เช่น ถ้าใช้ React.js ก็มี Next.js ถ้าใช้ Vue.js ก็มี Nuxt.js เฟรมเวิร์คยอดนิยมในปัจจุบันที่ใช้พัฒนาเว็บที่เป็นมิตรกับ SEO)
ตัวอย่าง Nuxt.js เว็บเฟรมเวิร์คที่เป็นมิตรต่อ SEO
Serve ตาม intent (keyword) ที่ผู้ใช้ค้นหาได้ครบ
สร้างเนื้อหาที่เหมาะสมตามที่ผู้เสิร์ชต้องการ (ไม่ได้กำหนดว่าจำเป็นต้องมีความยาวกี่คำ แต่เอาเป็นว่าให้ได้ครบตามบริบทที่ผู้เสิร์ชได้ค้นหาคำนั้น ๆ ครบ จบที่เว็บของเรา)
Semantic HTML
ใช้ Semantic Markup (HTML) เพื่อให้ crawler หรือ Bingbot เข้าใจบริบทเนื้อหาของเว็บเพจเราได้ดีมากขึ้น เช่น ส่วนไหนคือส่วน body, section, sidebar, ฯลฯ อะไรแบบนี้ (ใช่ว่าจะใช้ div แล้วก็จบเลยน๊า)
อย่าทำ Cloaking
Cloaking คือเทคนิคตบตา ควรให้เว็บแสดงผลแบบมีความโปร่งใสและตรงไปตรงมา ไม่ใช่ว่าแสดงผลให้คนอ่านอีกแบบหนึ่ง แต่เบื้องหลังโชว์ให้เสิร์ชเอนจินแสดงผลอีกเวอร์ชันหนึ่ง แบบนี้ Bing ไม่ชอบ (Google ก็เช่นกัน)
AI Generated Content
คอนเทนต์ที่ถูกสร้างด้วย AI (AI generated content) อันนี้ก็ระวังให้ดี ซึ่งเอาจริง ๆ คนอ่านรู้ครับ ยิ่งคนที่เป็นนักเขียนหรือ content creators ด้วยกันนี่ ถ้าเขียนไม่เนียนจริง ๆ จะรู้เลยว่าเว็บไหนใช้ Generative AI เช่น ChatGPT, Gemini, ฯลฯ ช่วยในการเขียน ดังนั้นถ้าส่วนตัวผมแนะนำคือเขียนให้ออกมาเป็นธรรมชาติที่สุดที่จะทำได้ ให้เป็นสำเนียงของตัวเอง
Affiliate Web & Thin Content
Affiliate website เพื่อน ๆ ที่ทำตรงนี้อยู่ก็ควรพิจารณาข้อนี้ให้ดีครับ คือไม่ใช่ว่านำสินค้าของเว็บอื่นมาโปรโมตหน้าเว็บ มาโชว์ ถ้าไม่ได้มีการเพิ่มคุณค่าอะไรเข้าไป อันนี้ Bing ก็ไม่ปลื้มครับ (คนที่ทำพวก affiliate links บนเว็บอาจจะต้องคิดหนัก)
Social Signal แรงกว่า Google
จากที่ได้ลองอ่านทำความเข้าใจดู Bing ค่อนข้างให้น้ำหนักกับ Social Signal เลยครับ สำหรับเพื่อน ๆ ที่มีเพจ เช่น Facebook, Instagram, Twitter ฯลฯ ที่มีผู้ติดตามและ engagement เยอะ ๆ นี่สามารถใช้ประโยชน์จากตรงนี้ได้เป็นอย่างดี
Bing Places สำหรับ Local SEO
Bing Places คือเวอร์ชัน clone ของ Google My Business ก็ว่าได้ครับ ดังนั้นถ้าจะให้ธุรกิจที่อยู่บน local ของเรานั้นแสดงผลบน Bing เราก็จำเป็นต้องกรอกข้อมูลเหมือนกันกับที่กรอกบน Google My Business ก็จะทำให้ธุรกิจของเราไปแสดงผลแบบ Local Packs เหมือนกัน Google Search
Bing Places
สรุป + ความเห็นส่วนตัว
ถึงแม้ Bing กำลังได้รับความยอดนิยมสูงขึ้นเรื่อย ๆ แต่ยังไงก็เน้น Google เป็นหลักไว้ก่อนอยู่ดีครับ แต่ถ้า Google Search เว็บเราทำได้ดีมากแล้ว แต่พอมาเช็คที่ Bing นั้น performance ยังได้ไม่ดีพอ ถ้าเรามีเวลาและทรัพยากรมากพอก็อาจแนะนำให้ optimize เว็บไซต์ของเราเพื่อให้ friendly ต่อ Bing Search เพิ่มเติมตาม guidelines ด้านบนที่ว่ามาได้เลยครับ ซึ่งจะทำให้เราได้ traffic ได้ทั้ง Google Search และ Bing Search ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสทางธุรกิจจาก traffic ที่มากขึ้นนั่นเอง
รวมไปถึงถ้าพิจารณาให้ดีจะเห็นว่าไมโครซอฟต์นั้นค่อนข้างจะเอาจริงเอาจังดัน Bing แบบสุด ๆ ครับ จะเห็นได้จากเครื่องมือต่าง ๆ ที่มีมาให้แบบจัดเต็ม
Note: ผิดพลาดตรงส่วนไหนต้องขออภัยด้วยนะครับ เดี๋ยวพอได้ optimize เว็บไซต์สำหรับตัว Bing search จริงจังแล้ว เดี๋ยวจะมาอัปเดตให้เพิ่มเติมครับ ถ้าเพื่อน ๆ ที่ได้อ่านแล้วมีฟีดแบ็ค มีความเห็นหรือคำแนะนำอย่างไรก็แชร์ความคิดเห็นกันเข้ามาได้เลยครับผ่านโพสต์ Bing SEOในเฟซบุ๊ก
อ้างอิง
