SEO คืออะไร? ศาสตร์การ optimize เว็บติดหน้าแรก Google แบบไม่เสียเงินค่าโฆษณา
Son contentmastery.io
Updated: Nov. 11, 2024ปัจจุบันค่าโฆษณาในแพลตฟอร์มต่าง ๆ มีแต่จะสูงขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าธุรกิจหวังพึ่งพาแต่ช่องทางนี้เพื่อให้คนเข้าถึงสินค้าหรือบริการของเรา วันไหนที่ไม่ได้โปรโมตหรือยิง Ads ก็จะไม่มีคนเห็นสินค้าของเรา
แต่หลายคนอาจจะยังไม่ทราบว่า ยังมีอีกวิธีที่สร้างความยั่งยืนในระยะยาว โดยเราสามารถเพิ่มคนเข้าเว็บไซต์ได้แบบไม่ต้องยิงแอดไปตลอด ก็ยังมีคนเข้าเว็บหรือเห็นบริการของเราอยู่เรื่อย ๆ กินได้ยาว ๆ วิธีการนี้เรียกว่าการทำ "SEO (Search Engine Optimization)"
SEO คืออะไร ?
SEO (Search Engine Optimization) คือ กระบวนการปรับ (optimize) เว็บไซต์เพื่อให้แสดงผลในหน้าแรกของ Search Engine (Google) โดยเราจะได้คนเข้าเว็บแบบ organic traffic (คือไม่ต้องเสียเงินค่าโฆษณา)
โดยปกติแล้วเมื่อพูดถึงการทำ SEO นั้น เรามักจะนึกถึง Search Engine อย่าง Google ครับ เพราะว่ากูเกิลนั้นเป็นเสิร์ชเอนจินที่ได้รับความนิยมสูงสุดในโลก จากด้านล่างนี้คือ Market Share ของเสิร์ชเอนจินในปี 2024 จะเห็นว่า Google แทบจะครองตลาดแบบเบ็ดเสร็จ
- Google: 91.62%
- Bing: 3.31%
- Yandex: 1.84%
- Yahoo: 1.08%
- Baidu: 0.77%
- Duckduckgo: 0.53%
Image source: StatCounter
ทำไมต้องติดหน้าแรก Google?
การติดอันดับต้น ๆ บนหน้าแรกของ Google (Top 10) ก็เปรียบเสมือนการที่เราได้ทำเลทองในโลกออนไลน์ ยิ่งเราอยู่ในอันดับสูงเท่าไหร่ โอกาสที่คนจะคลิกเข้าชมเว็บไซต์ก็จะยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น คือเปอร์เซ็นต์ที่คนจะคลิกก็จะสูงตามไปด้วยนั่นเองครับ จะเห็นว่ายิ่งอยู่อันดับ 1 โอกาสที่คนจะคลิกก็มีมากเกือบ 30%
นั่นเท่ากับว่าถ้ามีคนเห็นเว็บเรา 100 คนในแต่ละวันจากการเสิร์ชบน Google ก็จะมีคนเข้าเว็บเกือบ ๆ 30 คนเลยทีเดียวครับ (แต่ก็ไม่ได้ fix ว่าเป็นเปอร์เซ็นต์ตามนี้เสมอไป เป็นค่าเฉลี่ย)
เปอร์เซ็นต์การคลิกของแต่ละอันดับที่แสดงผล
ลองนึกภาพว่า Google เป็นเหมือนศูนย์การค้าขนาดใหญ่ การติดอันดับหน้าแรกก็เหมือนการได้เปิดร้านในโซนที่คนเดินผ่านมากที่สุด ส่วนหน้าที่ 2, 3 หรือหลังจากนั้น ก็เหมือนการเปิดร้านในซอยลึกที่คนแทบไม่เดินผ่าน
ดังนั้น การทำ SEO เพื่อติดหน้าแรก Google จึงเป็นเหมือนการลงทุนระยะยาวที่คุ้มค่า ช่วยให้ธุรกิจของเราเติบโตอย่างยั่งยืนในโลกออนไลน์ โดยไม่ต้องพึ่งพาแต่การโฆษณาที่ต้องจ่ายเงินตลอดเวลา
ประเภทของ SEO
ปกติแล้วจะถูกแบ่งออกเป็น 4 ประเภทหลัก ๆ ดังต่อไปนี้
On-Page SEO: ศาสตร์ที่ว่าด้วยการปรับคอนเทนต์ให้สมบูรณ์แบบที่สุด (ปัจจัยภายในที่เราควบคุมได้)
- Off-Page SEO: ศาสตร์ที่ว่าด้วยการอาศัย Backlink จากเว็บอื่น
- Technical SEO: ศาสตร์เกี่ยวกับการปรับเว็บโดยตรง เพื่อให้เอื้อต่อ SEO
- Local SEO: ศาสตร์ที่ว่าด้วยการทำให้บริการของเราไปแสดงผลบน Google โดยอ้างอิงตามโลเคชันของผู้ใช้งาน
SEO กับยิง Ads แบบไหนได้ผลกว่ากัน?
สองวิธีการนี้มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป ไม่ได้มีวิธีการไหนที่ดีที่สุด เพราะว่าในบางธุรกิจอาจจะเหมาะสำหรับ SEO หรือบางธุรกิจการยิงแอดก็อาจจะตอบโจทย์กว่า รวมไปถึง timing (ช่วงระยะเวลาที่เหมาะสม) โดยการยิงแอดจะเป็นส่วนหนึ่งของการตลาดแบบ SEM (Search Engine Marketing)
Note: สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ในบทความ SEO vs SEM แบบไหนเหมาะสำหรับธุรกิจเรา
ยกตัวอย่าง เราเพิ่งเปิดร้านค้าหรือบริการขึ้นมาใหม่ ถ้าหากจะต้องรอเซ็ตเว็บ เขียนบทความ ทำคอนเทนต์เพื่อดึงหรือรอคนเข้าเว็บแบบ organic แล้วนั้น มันอาจจะไม่ทันกินก็ว่าได้
ดังนั้นเพื่อน ๆ อาจจะซื้อโฆษณาเพื่อเป็นจุดเริ่มต้น ให้คนรู้จักสินค้าของเราก่อน จากนั้นเมื่อดำเนินกิจการไปได้สักระยะหนึ่ง พร้อมพิสูจน์แล้วว่ามันมีโอกาสและความเป็นไปได้ในธุรกิจ จึงอยากจะสร้างความยั่งยืนควบคู่กันไป ตอนนี้แหละครับที่ SEO คือสิ่งที่เราต้องวางแผนในลำดับถัดไป
เปรียบเทียบ SEO และการยิงแอด Facebook
จากภาพกราฟด้านบน ผมไม่ได้จะมาดิสเครดิตการยิงแอดแต่อย่างใด เพราะว่ามันก็เคยเป็นอีกช่องทางที่ทำเงินให้กับผมได้พอสมควร แค่อยากจะสื่อว่า SEO คุณทำครั้งเดียว กินได้ยาว ๆ (ในความเป็นจริงก็ไม่เชิงครั้งเดียวหรอก) แต่การยิงแอดถ้าคุณไม่เติมเงินลงไป การมองเห็น (Impression) ก็จะเป็น 0 การขายก็จะเป็น 0 ตามไปด้วย
ข้อดีของการทำ SEO
- ได้คนเข้าเว็บเพิ่มขึ้น
- การรับรู้ของเว็บ/ธุรกิจเพิ่มขึ้น
- ยอดขายเพิ่มขึ้น
- ลดค่าโฆษณาของธุรกิจ
- ความน่าเชื่อถือให้กับเว็บของเราเพิ่มขึ้น
- ความยั่งยืนของธุรกิจในระยะยาว
- ฯลฯ
1. ได้คนเข้าเว็บหรือ traffic เพิ่มขึ้น
อันดับแรกเลยคือ traffic หรือคนเข้าเว็บของเราจะเพิ่มขี้นอย่างแน่นอนครับ แต่จะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของเรา ส่วนคนเข้าเว็บเพิ่มนี่ก็เปรียบเสมือนว่าเราสร้างทำเลขายของที่เจ๋ง ๆ ให้กับตัวเองใช่ไหมครับ
ก่อนทำ SEO vs หลังทำ SEO
แน่นอนว่าคนก็จะเข้ามาเห็นสินค้าหรือบริการของเราเพิ่มขึ้น แล้วมันจะนำมาสู่อะไรล่ะ ?
2. ได้ยอดขายเพิ่มขึ้น
แน่นอนครับว่าเมื่อคนเข้าเว็บเพิ่มขึ้น คนเห็นสินค้าหรือบริการเรามากขึ้น มันก็จะนำมาสู่โอกาสในการที่เราจะได้ยอดขายเพิ่มขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย ยกตัวอย่างง่าย ๆ ร้านค้าของนาย A วันหนึ่งมีคนเดินผ่านหน้าร้าน 10 คน ส่วนร้านค้าของนาย B วันหนึ่ง ๆ มีคนเดินผ่านหน้าร้าน 1,000 คน เพื่อน ๆ คิดว่าร้านของใครมีโอกาสที่จะได้ยอดขายมากกว่าครับ?
3. ได้ Brand Awareness เพิ่มขึ้น
การทำ SEO จะช่วยให้การรับรู้ (Brand Awareness) ของเราเพิ่มขึ้น เพราะว่าคนเข้าเว็บเราเยอะขึ้น เกิดการรับรู้ เกิดภาพจำซ้ำ ๆ ทำให้คุ้นเคยเกี่ยวกับแบรนด์ของเรามากขึ้นตามไปด้วย จึงมีโอกาสที่จะมาซื้อสินค้าหรือบริการของเราได้ในอนาคต
4. ลดค่าโฆษณาของธุรกิจ
จากปกติที่ใครหลายคนต้องพึ่งพาแต่การโฆษณาเป็นหลัก ซึ่งส่วนนี้ก็ถือว่าเป็นค่าใช้จ่ายทางธุรกิจที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ในวันที่เราไม่ได้อัดงบหรือโปรโมตโฆษณาของเรา ลูกค้าก็จะมองไม่เห็นสินค้าหรือบริการของเรา
แต่ SEO นั้นไม่ใช่แบบนั้น เพราะว่าเราไม่ต้องจ่ายค่าโฆษณา แต่คนก็เข้ามาเห็นสินค้าหรือบริการของเราได้เรื่อย ๆ ผ่านการค้นหาจาก Google (แต่เราก็ต้องคอยติดตามและอัปเดตคอนเทนต์อยู่เสมอ)
5. เพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเว็บหรือแบรนด์ของเรา
การทำ SEO นั้นเหมือนจะเป็นการบังคับให้เราต้องทำคอนเทนต์หรือเนื้อหาที่เป็นประโยชน์กับ users เพราะว่ายิ่งเนื้อหาของเว็บเราดีมากเท่าไหร่ ความเชื่อถือต่อแบรนด์หรือธุรกิจของเราก็จะเพิ่มสูงขึ้นเท่านั้น
เราคงไม่ได้อยากแค่ทำคอนเทนต์ขยะให้คนที่เสิร์ชมาเจอแล้วเสพคอนเทนต์แบบนั้นเพียงแค่หวังผลทาง SEO อย่างเดียวใช่ไหมครับ? ผมเชื่อว่าส่วนใหญ่แล้วพยายามทำคอนเทนต์หรือบทความให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้อยู่แล้ว
6. ความยั่งยืนของธุรกิจในระยะยาว
ด้วยประโยชน์ต่าง ๆ ของการทำ SEO ที่ได้กล่าวมาข้างต้นนั้น เชื่อว่าถ้าเราทำ SEO สำเร็จแล้วนั้น มันจะนำมาซึ่งความยั่งยืนของธุรกิจเราได้ในระยะยาวอย่างแน่นอน เพราะเราสร้างความน่าเชื่อถือให้กับเว็บหรือแบรนด์ ลดค่าโฆษณาได้ มีคนเข้าเว็บแล้วเจอสินค้าและบริการของเราเยอะมากขึ้น คนบอกกันปากต่อปาก ฯลฯ
จุดด้อยของ SEO รวมถึงการเข้ามาของ GenAI ในปี 2024
- ใช้เวลาในการทำนาน: เพราะว่าการทำ SEO ไม่ได้เห็นผลทันทีเหมือนยิงแอดที่เราสามารถเติมเงินแล้วกด boost โพสต์ได้เลยเหมือนดังเช่น Facebook, IG, etc ดังนั้นหากเราไม่มีความเข้าใจตรงจุดนี้ดี จะทำให้รู้สึกว่าไม่เห็นผล หรืออาจจะเห็นผลช้า
- การเข้ามาของ Generative AI: ปัจจุบันหลาย ๆ เว็บส่วนใหญ่เรียกได้ว่าใช้แชทบอตอย่าง Generative AI ไม่ว่าจะเป็น ChatGPT, Gemini, Claude เป็นต้น ทำให้การทำคอนเทนต์สะดวกและง่ายกว่าเดิมมาก ๆ ซึ่งทำให้เกิดการแข่งขันสูงตามไปด้วย และพฤติกรรมของผู้ใช้ในการเสิร์ชก็เริ่มที่จะมีแนวโน้มไปใช้เครื่องมือเหล่านี้แทน Google Search มากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะ AI Search ที่น่าสนใจอีกตัวอย่าง Perplexity AI
- ความซับซ้อน: การทำ SEO ไม่ได้มีเพียงแค่การทำคอนเทนต์ให้ดี แล้วจะติดหน้าแรก Google ได้ หากได้ศึกษาลงไปให้ลึกแล้วจะพบว่า ยังมีปัจจัยทางด้านเทคนิคอีกหลายส่วนที่เกี่ยวข้อง เชื่อมโยงกัน ดังนั้นการที่จะเรียนหรือทำ SEO ให้เข้าใจแบบถ่องแท้ได้นั้น สกิลอย่างการตรวจสอบหรือปรับปรุงเว็บไซต์หรือทำ Site Audit หรือ Technical SEO ได้ ก็เป็นอีกหนึ่งทักษะที่จำเป็น อาจจะไม่ต้องถึงกับขนาดต้องสร้างเว็บหรือเขียนโค้ดขึ้นมาเองได้ (แต่ถ้าทำได้ทั้งสองอย่าง มันก็ย่อมได้เปรียบคนอื่น)
- วัดผลได้ยากกว่าการยิงแอด: เอาจริง ๆ มันวัดผลได้อยู่แล้วแหละ เช่น Organic Traffic, Conversion, Keywords Ranking แต่... มันวัดไม่ได้ง่ายและตรงไปตรงมา เช่น การยิงแอด สมมติเรากำลังยิง Facebook Ads หลังยิงสามารถวัดผลได้ทันทีว่า วันนี้คนเห็นโพสต์กี่คน ทักข้อความมากี่คน ปิดการขายได้กี่ออเดอร์ ซึ่งมันค่อนข้างชัดเจนและตรงไปตรงมากว่า ส่วน SEO นั้นมิติในการวัดผลมันน้อยกว่า โดยส่วนใหญ่จะวัดผลจากทราฟฟิกหรือคนเข้าเว็บ (Organic Traffic) ปริมาณการคลิกในคีย์เวิร์ดหรือเว็บเพจหน้านั้น ๆ หรือไม่ว่าจะเป็น Conversion Rate เป็นต้น
- Google ปรับอัลกอริทึมบ่อย: เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาหลังจากอัปเดตบทความนี้ ก็มีการประกาศอย่างเป็นทางการจากเว็บของ Google Search Central ว่าจะลบหรือลดการแสดงผล Rich Results ในส่วนของ FAQ และ HowTo ซึ่งทำเอาคนที่ทำ SEO ปวดหัวได้เลย เช่น บางคนที่ได้ปรับ Schema Markup หรือ JSON-LD เพื่อให้แสดงผลแบบ Rich Results ก็อาจจะเป็นการสูญเปล่า เพราะว่า Google จะไม่แสดงผลในส่วนนี้อีกต่อไป (Note: เพื่อน ๆ สามารถติดตามการอัปเดตข่าวสาร SEO ได้เพิ่มเติมใน SEO News ของ contentmastery.io เรา ได้เลยนะครับ ผมจะรวบรวมไว้ในหน้านี้)
ขั้นตอนการทำ SEO
เมื่อรู้ภาพรวมของ SEO แล้ว ต่อมาคือขั้นตอนหรือวิธีในการเริ่มต้นทำ SEO ตั้งแต่เริ่มต้น (สมมติว่าทุกคนตอนนี้มีเว็บไซต์กันแล้ว)
- Keyword Research:
เป็นการวิเคราะห์และวางแผนคีย์เวิร์ด SEO ที่เราต้องการติดอันดับหน้าแรก
Google
โดยแนะนำว่าควรเป็นคีย์เวิร์ดที่มีความเกี่ยวข้องกับธุรกิจหรือบริการของเรา
- Content Creation: หลังจากวางแผนคีย์เวิร์ดเสร็จสิ้นแล้ว ขั้นตอนต่อมาก็คือการนำคีย์เวิร์ดเหล่านั้นมาสร้างเป็นคอนเทนต์ ซึ่งคอนเทนต์ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงการเขียนบทความอย่างเดียวครับ แต่ยังรวมไปถึงหน้าสินค้า (Product Page) หน้าบริการ (Service Page) หรือฟอร์แมตอื่น ๆ ที่เหมาะสมกับ Search Intent ของผู้ใช้งาน
- On-Page SEO: เป็นขั้นตอนในการปรับคอนเทนต์ของเราให้สมบูรณ์แบบที่สุด หลังจากที่ได้สร้างเนื้อหาก่อนหน้านี้ ในเบื้องต้นก็จะเป็นการปรับ Title, H1, Description, เนื้อหาของคอนเทนต์, Heading Tags, ความหนาแน่นของคีย์เวิร์ดในบทความหรือเนื้อหาบนเว็บ, SEO Friendly URL เป็นต้น
- Technical SEO: เป็นขั้นตอนที่เกี่ยวกับการปรับ performance ของเว็บไซต์ เช่น ความเร็วของเว็บ ความลื่นไหลในการใช้ Core Web Vitals ไปจนถึงการปรับ Site Structure (ซึ่งจริง ๆ แล้วควรจะออกแบบให้ดีแต่แรกจะได้ไม่แก้ไขยากหรือรื้อโครงสร้างเว็บในภายหลัง)
- Link Building (Off-Page SEO):
เป็นขั้นตอนในการสร้างลิงก์ย้อนกลับ (Backlink)
จากเว็บอื่นมาที่เว็บของเรา ซึ่งขั้นตอนนี้เป็นสิ่งที่เราควบคุมได้ยาก
หรือเป็นปัจจัยภายนอก ซึ่งวิธีการทำก็มีหลายวิธี เช่น ทำคอนเทนต์ให้สมบูรณ์แบบเพื่อให้เว็บอื่นอ้างอิงหรือลิงก์มาที่เว็บเรา
- Monitoring & Tracking: เป็นการขั้นตอนสุดท้ายของการทำ SEO ซึ่งเราต้องคอยติดตามและวัดผลอยู่เสมอ ๆ ครับ โดยในเบื้องต้นแล้วก็จะมีเครื่องมือที่คนทำ SEO และเว็บไซต์ทุกคนต้องมีเป็นเครื่องมือเริ่มต้นคือ Google Search Console (แต่ต้องมีเว็บเป็นของตัวเองก่อนถึงจะสามารถติดตั้งและใช้งานได้)
พอเราทำขั้นตอนเหล่านี้เสร็จแล้ว ก็จะวนลูปซ้ำไปมาครับ เพราะต้องมีการวางแผนและติดตามผลอย่างสม่ำเสมอ
สรุป
SEO คือ วิธีในการปรับเว็บไซต์และคอนเทนต์ เพื่อให้ติดอันดับในหน้าแรก ๆ ของ Search Engine เช่น Google โดยเราจะได้คนเข้าเว็บแบบ organic traffic คือ ไม่ต้องจ่ายยิงแอด จ่ายเงินค่าโฆษณา สร้างความยั่งยืนของธุรกิจในระยะยาว
โดยการทำ SEO หลัก ๆ ประกอบไปด้วย On-Page, Technical, Local และ Off-Page SEO,
และในปัจจุบันการ optimize เว็บให้ดีต่อ Google เพื่อติดหน้าแรกนั้น เริ่มมีความท้าทายและยากขึ้นเรื่อย ๆ จากการมาของ Generative AI อย่าง ChatGPT, Gemini, Claude, ฯลฯ เป็นต้น ทำให้พฤติกรรมการใช้งานของผู้ใช้เริ่มมีแนวโน้มค่อย ๆ เปลี่ยนไปใช้ AI Search
ข้อควรคำนึงในการทำ SEO คือ ต้องใช้ความอดทน รอผลลัพธ์ให้ได้ เปรียบเสมือนการปลูกต้นไม้ เราต้องหมั่นใส่ปุ๋ย รดน้ำพรวนดิน ดูแลอยู่สม่ำเสมอ เพราะว่ามันไม่ได้เห็นผลในทันทีทันใดเหมือนการยิงแอด แต่ถ้าสำเร็จแล้วก็กินได้ยาว ๆ หวังว่าบทความนี้จะทำให้เพื่อน ๆ หรือคุณผู้อ่านมองภาพรวมของ SEO ออกนะครับ :)
คำถามที่พบบ่อย
พร้อมอัพสกิล SEO เต็มรูปแบบ?
เพราะเวลาเป็นสิ่งมีค่ายิ่ง ลดระยะเวลาลองผิดลองถูกด้วยตัวเอง กับคอร์สเรียน SEO + Web เข้าใจ SEO ในทุกมิติ เข้าใจเบื้องลึกเบื้องหลังการทำงานของเว็บ สามารถวิเคราะห์ performance ของเว็บได้ ทำให้วางแผนเพิ่มประสิทธิภาพและ traffic ของเว็บได้ กับคลาสเรียนสำหรับองค์กรและบริษัทต่าง ๆ เรียนกับ Son contentmastery.io ผู้ก่อตั้ง Content Mastery